
“คุณคือใคร?”
คำถามนี้ คือการเปิดฉากเริ่มต้นการแสดงละครเวทีในงาน Voice of the voiceless ครั้งที่ 3 ภายในห้อง ‘พื้นที่ปลอดภัย เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างโอกาส สู่ จุดเปลี่ยนเพื่อสุขภาวะ “คนไร้บ้าน”บนศักดิ์ศรีและความเท่าเทียม’ ที่จัดโดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา
“ฉันคือคนไร้บ้าน” นักแสดงกว่า 40 ชีวิตจากทั่วประเทศรวมตัวกันบนเวทีตะโกนประโยคนี้แล้วชี้มาที่ตัวเอง
ถ้านักแสดงไม่เฉลยว่าตัวเองคือ ‘คนไร้บ้าน’ หรือ ‘อดีตคนไร้บ้าน’ ผู้ชมบางคนก็อาจจะไม่คิดว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่สังคมมองว่าเป็น ‘ภัยสังคม’ เพราะภาพจำเกี่ยวกับคนไร้บ้าน อย่างการแต่งกายมอมแมม หรือท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ไม่ได้สะท้อนออกมาจากนักแสดงร่วม 40 คน แต่ทุกคนมาพร้อมกับเสื้อผ้าสีสดใส หน้าตายิ้มแย้ม และการพูดที่ฉะฉาน
หลังจากการโยนคำถามปลายเปิดว่า “คุณคือใคร?” แก่ผู้เข้าชม ละครเวทีก็เริ่มต้นอีกครั้งด้วยเหตุการณ์ 3 ฉาก
“มาอยู่ตรงนี้นานหรือยัง… เรามีงานนะ อยากไปทำกับเราไหม” นักแสดงคนหนึ่งต่อบทกับนักแสดงอีกคนที่กำลังจำลองว่าตัวเองนอนอยู่ข้างถนน นี่คือการแสดงจำลองการ ‘ย่ำกรุง’ กิจกรรมที่เครือข่ายคนไร้บ้าน เดินสังเกตวิถีชีวิตของพี่น้องคนไร้บ้านตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ รวมถึงการประสานให้เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และชวนไปทำงานรับจ้างรายวันเพื่อมีรายได้ หากต้องการเช่าห้องเพื่ออยู่อาศัย ไม่ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะอีก
“น้องๆ กินข้าวหรือยัง เอานี่ไปยากันยุง กาแฟ น้ำ รับไปนะ” ต่อมานักแสดงอีกมุมหนึ่งของเวทีการแสดงก็เริ่มมีบทพูดขึ้นมาบ้าง พร้อมกับถือสิ่งของมาโชว์หน้าเวที สิ่งนี้คือกิจกรรม “เดินกาแฟ” ของเครือข่ายช่วยเหลือคนไร้บ้าน เพื่อลงพื้นที่พูดคุยกับคนไร้บ้าน แจกจ่ายสิ่งของจำเป็น เช่น กาแฟ อาหาร และยาสามัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการสื่อสารและความสัมพันธ์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เข้าถึงความช่วยเหลืออื่นๆ ต่อไป
“รู้ไหมว่าไปหาหมอได้ถ้าป่วย แค่ยื่นบัตร หรือไปรับยาพารากับเราได้นะ ถ้าไปติดต่อที่นี่” เหตุการณ์ที่ 3 บนเวทีคือนักแสดงคนหนึ่งเข้าไปพูดคุยกับนักแสดงอีกคน กิจกรรมนี้เรียกว่า “เดินเลาะเมือง” ของกลุ่มเพื่อนคนไร้บ้าน จ.ขอนแก่น ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มอาสาสมัครหรือองค์กรลงพื้นที่เดินสำรวจตามท้องถนนในเมืองขอนแก่น เพื่อพบปะ พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ และติดตามปัญหาชีวิตของคนไร้บ้าน
การแสดงจำลองการ ‘ย่ำกรุง’ ‘เดินกาแฟ’ ‘เลาะเมือง’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงละครบนเวทีแห่งนี้ เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงในการผลักดันให้รับรู้ เข้าใจ และผลักดันปัญหาเรื่องคนไร้บ้านมากขึ้น
“เราต้องการโอกาส” หนึ่งในข้อเรียกร้องที่นักแสดงวัยชราบอกกับผู้ชม ก่อนปิดจบการแสดงด้วยเสียงปรบมือก้องห้องประชุม
การแสดงละครเวทีจบลงภายใน 20 นาที โดยในช่วงท้ายคือการให้นักแสดงทุกคนออกมาแสดงเจตจำนงถึงความต้องการของคนไร้บ้านที่มาจากความต้องการของพวกเขาจริงๆ ที่หวังว่าการส่งสารครั้งนี้จะถึงทุกคนโดยแท้จริง
สำหรับทีมผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทละคร อย่าง อาจารย์เอ๋ ผศ.ดร.ไพบูลย์ โสภณสุวภาพ, อาจารย์ตั้ม ทวีวัฒน์ กำเนิดเพ็ชร์ และอาจารย์อุ้ย อุษาวดี สุนทรเกตุ ในนามกลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ บอกว่าการแสดงชุดนี้ประสบผลสำเร็จไปก่อนที่จะแสดงจริงด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาได้ ‘พูด’ ในแบบของตัวเอง และได้ ‘ส่งเสียง’ ของตัวเองออกมาโดยแท้จริง โดยที่บทละครแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย
กระบวนการที่ไม่เริ่มจากบทละคร หากเริ่มจากการฟัง
“เราไม่ได้มาเพื่อให้เขา ‘แสดง’ แต่เราอยากให้เขา ‘พูด’ ในแบบของตัวเอง” อ.เอ๋ กล่าว

กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ คือกลุ่มที่ทำงานโดยใช้ละครและกระบวนการศิลปะการละครเพื่อเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ โดยมีอาจารย์ตั้ม ทวีวัฒน์ กำเนิดเพ็ชร์ เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ อาจารย์อุ้ย อุษาวดี สุนทรเกตุ เป็นกระบวนกร และอาจารย์เอ๋ ผศ.ดร.ไพบูลย์ โสภณสุวภาพ ทั้งสามคนทำงานประจำเป็นอาจารย์สอนด้านดนตรีและการแสดง จึงรวมตัวตั้งกลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ เพื่อใช้แนวทางของการแสดงละครเข้าไปให้ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการ
“เราเคยทำงานกับคนไร้บ้านในการช่วยถอดบทเรียนการเรียนรู้ของกลุ่มคนไร้บ้านในชลบุรี หลังจากนั้นเราก็ได้รับข้อมูลจากผู้จัดงานหนึ่งมาว่า ช่วยมากำกับการแสดงละครเวทีในงานอีเวนต์” อ.เอ๋ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของกลุ่มการละครบางเพลย์ในการแสดงเวทีคนไร้บ้านในงาน VOV 3 ที่ผ่านมา
“ตอนแรกผู้จัดงานส่งสคริปต์มาให้ เป็นเรื่องราวที่วางโครงไว้ชัดเจน มีบทพูดและฉากกำหนดครบ แต่พอเราอ่านแล้วเราคิดว่าแนวทางนี้อาจะจะไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร ขอพับเก็บไว้ก่อนแล้วเจอนักแสดงจริงๆ ค่อยว่ากัน”
ที่ อ.ตั้ม กล่าวอย่างนี้ เพราะในมุมของคนที่ทำงานด้านการแสดงเพื่อการเรียนรู้เข้าใจดีว่าการให้บทเพื่อการแสดง อาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับบทที่มาจากนักแสดงจริง โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ถูกนิยามว่าเป็นกลุ่มคนเปราะบางอย่าง ‘กลุ่มคนไร้บ้าน’
“เราคิดว่าทุกคนควรมีสิทธิ์มีเสียงในการพูด ไม่ใช่แค่มาแสดงตามบทที่คนอื่นเขียนให้” ทีมกลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ ที่ ณ ขณะนั้นอยู่ในหน้าที่ผู้กำกับมองว่าการทำงานกับกลุ่มคนไร้บ้านต้องเริ่มจากความเข้าใจว่าแต่ละคนมีประสบการณ์ ความสามารถ และข้อจำกัดที่ต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดเก่ง หรือกล้าออกมาแสดงทันที ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกปลอดภัยพอที่จะเปิดปากเล่าเรื่อง
ก่อนการแสดงจริง ทีมนักแสดงกว่า 40 คนของกลุ่มคนไร้บ้านจากภาคเหนือ อีสาน ใต้ และกรุงเทพฯ มีเวลาเจอหน้ากัน และซ้อมรวมแค่ 4 วัน
“เราตกใจมากที่เจอคนเยอะขนาดนี้ในห้องประชุม แล้วเราก็มองเห็นว่าบางคนเคยร่วมกิจกรรมลักษณะนี้มาก่อน บางคนเพิ่งเข้ามาทำกิจกรรมแบบนี้ครั้งแรก คนหลากหลายเต็มไปหมด” อ.เอ๋กล่าว
ทั้ง 3 คนบอกว่าวันแรกของกระบวนการซ้อมละครเวทีจึงไม่ได้เริ่มด้วยการซ้อมบท หากแต่เป็นกิจกรรมละลายพฤติกรรมและสร้างความคุ้นเคย โดยที่กิจกรรมหลักๆ คือการทักทายกัน การเดินมองตา เล่นเกมประกอบร่างเป็นสิ่งของหรือสถานการณ์ ลองใช้เสียงและร่างกายเพื่อสื่อสาร โดยไม่ต้องกลัวว่าทำผิดหรือถูก
“เราบอกทีมงานเลยว่าอย่าบอกเขาว่าเรามาทำละคร ให้บอกว่าเรามาเล่าเรื่อง เพราะถ้าบอกว่าละคร มันจะเกิดบล็อก หรือปิดกั้นสิ่งนี้ทันที” อ.อุ้ย เล่าให้ฟัง

กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันแรกถูกออกแบบให้ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยขยายจากการทำงานเป็นคู่ เป็นกลุ่มเล็ก และสุดท้ายรวมเป็นวงใหญ่
“ทุกขั้นตอนมีเป้าหมายชัดเจน บางกิจกรรมเพื่อให้รู้จักกัน บางกิจกรรมเพื่อดึงความทรงจำหรือประสบการณ์ออกมา บางกิจกรรมเพื่อสังเกตว่าใครกล้าพูด ใครชอบใช้ร่างกาย ใครมีท่าทีเงียบแต่สนใจ” อ.เอ๋ กล่าว
เขียนบทจากชีวิตจริง
อ.ตั้ม เล่าต่อว่าเมื่อผู้เข้าร่วมเริ่มคุ้นเคย ทีมงานก็ชวนเข้าสู่การพูดคุยเชิงลึกมากขึ้น โดยใช้คำถามปลายเปิด เช่น “ถ้าคุณจะพูดอะไรสักอย่างในฐานะคนไร้บ้าน คุณอยากพูดอะไร?” หรือ “อะไรคือความต้องการที่สำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้?”
“เขาตอบอะไรเราก็จะจดลงบนกระดานเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเสียงของแต่ละคนมีค่า และสามารถต่อยอดเป็นประเด็นในละครได้ เช่น เรื่องการหางานทำ การถูกปฏิเสธ ความฝันที่จะมีที่อยู่อาศัย หรือการกลับบ้านที่มีเงื่อนไขทางครอบครัว”
โครงบทละครเดิมถูกแทนที่ด้วยบทละครใหม่ที่มาจากการบอกเล่าของกลุ่มคนไร้บ้านภายในวันแรกที่เจอกัน
“พอเขาพูดในคำของตัวเอง เขากล้าพูดมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่คำของใครที่เอามายัดให้…เขารู้สึกว่านี่คือเรื่องของเขาจริงๆ”
อาจารย์ทั้งสามคนกล่าวตรงกันว่า ความสำคัญมากกว่าบทละครคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในผู้แสดงได้แสดงในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่ทั้งนี้การสร้างความปลอดภัยในที่นี้ไม่ใช่เพียงการบอกว่า “พูดได้ ไม่ต้องกลัว” แต่ต้องแสดงให้เห็นจริงว่าไม่มีใครถูกตัดสิน ไม่มีคำตอบผิด และทุกคนได้รับการรับฟัง

“เราชอบฟังเสียงเบาๆ ที่มักไม่มีใครฟัง เพราะคนที่เป็นแกนนำพูดบ่อยอยู่แล้ว แต่เราต้องหันไปมองคนที่เงียบด้วย” อ.เอ๋กล่าว
“บางครั้งคนที่เงียบเมื่อได้รับการชวนจากเพื่อนในกลุ่มให้พูด “พูดบ้างสิ” และเมื่อคำพูดของเขาถูกเขียนขึ้นบนกระดาน ก็เหมือนได้รับการยอมรับทั้งจากเพื่อนและจากกระบวนกร พอครั้งถัดมาเขากล้าพูดมากขึ้น กล้าออกเสียง กล้าส่งเสียงกล้าตอบ” อ.อุ้ยกล่าวเสริม
การแสดงละครเวทีชุดนี้ อ.ตั้มบอกว่าบทละครที่ให้อ่านนับเป็นแค่ 20% ที่เหลือคือการแสดงให้เขาดู แล้วการแสดงที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็มาจากเรื่องเล่าของพวกเขาทั้งนั้น ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องง่ายมากๆ เพราะเขาได้แสดงจากเรื่องของตัวเอง

“อย่างที่เราถามไปว่าอะไรที่เขาต้องการ เขาก็จะตอบกันว่าสิทธิ โอกาส เงิน คำตอบเหล่านี้เราก็เอามารวมกับบทละครอันเดิมเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การสะท้อนนโยบายใหญ่เกี่ยวกับคนไร้บ้าน ถ้าไปบอกเขาให้อ่านบทสิแล้วขึ้นไปพูดบนเวที เวลาซ้อมแค่ 4 วันคงไม่พอ แต่พอเราได้รู้ความต้องการของเขาจริงๆ แล้วให้เขาลุกขึ้นมาแสดง ขึ้นมาพูดเลย เขาทำได้แบบที่ไม่ต้องซ้อมด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นความต้องการของพวกเขาเอง” อ.เอ๋ อธิบาย
ละครในมือของคนไร้บ้าน กับการคืนพื้นที่ให้เรื่องเล่าที่มาจากคนไร้บ้านจริงๆ
“เราเจอกันจริงๆ 4 ครั้ง 2 ครั้งแรกเพื่อเก็บเรื่องและสร้างโครงเรื่อง ครั้งที่ 3เพื่อรวมบทและซ้อม และครั้งสุดท้ายก่อนวันแสดง ทุกคนที่แสดงเขาจำบทได้แม่น เพราะมันคือเรื่องของเขา และเราไม่ได้คาดหวังให้เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพ แค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของเขา” อ.อุ้ยกล่าว
“เขามีเสียงอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว” อ.เอ๋ กล่าว
สิ่งที่กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์ มองเห็นจากการกำกับและฝึกซ้อมละครเวทีนี้คือศักยภาพของมนุษย์คนหนึ่ง
“หลายคนจำบทและลำดับฉากได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่ไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพ แต่เพราะสิ่งที่พูดออกมาเป็นคำพูดจากประสบการณ์จริง เมื่อมันเป็นเรื่องของเขาเอง ความจำและความเข้าใจจึงกลายเป็นธรรมชาติ” อ.เอ๋ กล่าว
“พวกเขามีทักษะการสังเกตนะ อาจจะสิ่งที่เกิดจากการใช้ชีวิตในสภาวะที่ไม่แน่นอนและไม่ปลอดภัยเสมอไป พวกเขาต้องอ่านสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ใครเป็นใคร ใครเข้ามาด้วยท่าทีแบบไหน ใครน่าไว้ใจหรือไม่ สิ่งนี้กลับกลายเป็นทุนที่ช่วยให้พวกเขาจำคิวได้ดีกว่าที่คาดคิด”
อ.อุ้ยอธิบายเพิ่มว่าบางครั้งเมื่อมีคนใหม่เข้ามาร่วมซ้อม คนเก่าจะเป็นคนช่วยบอก ช่วยสอน และพยายามดึงเขาเข้ามามีส่วนร่วมทันที ภาพเหล่านี้สะท้อนศักยภาพในการช่วยเหลือและพึ่งพากันเอง ไม่ต่างจากความสามารถในการเอาตัวรอดที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ถูกเปลี่ยนสนามมาอยู่บนเวทีละคร
“อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือความตั้งใจ แม้บางคนจะมีความเหนื่อยล้าหรือความเบื่อจากการซ้อมซ้ำ แต่เมื่อได้รับการชื่นชมและการยอมรับ เราจะชมเขาว่าเก่งมาก เยี่ยม แล้วเขียนชมบนกระดาน พอเราทำแบบนี้ทุกคนมีแววตาที่ดีใจ และเป็นแรงผลักหนึ่งที่ทำให้พวกเขาพยายามซ้อมละครต่อไป”
ขณะที่ อ.ตั้มกล่าวว่า “เราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ตอนแสดงด้วยซ้ำ เพราะกระบวนการมันจบไปตั้งนานแล้ว มันจบไปตั้งแต่เขากล้าพูด กล้าส่งเสียงของตัวเองออกมาจริงๆ แล้วสิ่งนี้ก็พัฒนาไปสู่บทละครเพื่อขึ้นแสดง”
“เขาจำได้หมดว่าใครต้องพูดอะไร ลำดับไหน แม้เราจะไม่ได้แจกบทเป็นลายลักษณ์อักษร นี่คือทักษะที่เขามีอยู่แล้ว แต่สังคมไม่เคยมอง”
ในวันแสดงจริง จากการซ้อมที่ห้องโถงถูกปรับเป็นการแสดงบนเวทีในหอประชุมที่มีผู้ชมนับร้อย แต่กลุ่มผู้กำกับไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องเฟอร์เฟค
“แสงไฟและเสียงดนตรีถูกปรับให้สอดรับกับการแสดงแบบอิมโพรไวส์ ความอลังการ บางช่วงการแสดงทีมงานเสียงเพิ่มเสียงให้ดราม่า เราก็ต้องขอช่างเทคนิคว่าส่วนนี้เบาลงได้ไหม ท่อนนี้ขอแบบไม่มีเสียงเพลง เพราะการสื่อสารเน้นความชัดเจนมากกว่าการใส่อารมณ์เพื่อความดราม่า” อ.เอ๋เล่าถึงเหตุการณ์ในวันแสดงจริง
“เชื่อว่าผู้ชมควรเห็น “เรื่องจริง” มากกว่าภาพจำลองของความทุกข์ คนดูต้องไม่รู้สึกว่านี่คือการแสดงให้ดูว่าเราตกอยู่ในภาวะนี้ แต่ต้องรู้สึกว่านี่คือเรื่องที่เขาอยากบอก”
เมื่อการแสดงจบลง สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่เพียงเสียงปรบมือ หากคือความรู้สึกว่าทุกคน ทั้งคนไร้บ้านและทีมงานได้เห็นและได้ยินกันจริงๆ
“หลายคนบอกว่ารู้สึกมีกำลังใจขึ้น เพราะมีคนสนใจฟังเรื่องราวของเขา และรู้ว่าตนเองมีสิทธิ์จะเล่า ไม่ว่าจะเล่าในเวทีละคร หรือในชีวิตประจำวัน” อ.เอ๋ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง : มยุรา ยะทา
ภาพ : สุกฤษฎิ์ ปัจจันตดุสิต
ภาพประกอบ : บัว คำดี
