
“พัทยาเป็นที่ที่อิสระ เป็นที่ที่ทำให้ทุกคนได้เป็นตัวเอง รู้แบบนี้เราก็เลยสะบัดบ็อบจากบ้านมาอยู่ที่นี่เลย”
จากสมุทรปราการสู่พัทยา ‘บุ้ง-ดำรัส ขุระสะ’ แกนนำอาสาสมัครดูแลสนับสนุนส่งต่อผู้รับบริการจากหน่วยงาน HON ทีอดีตเคยเป็นคนไร้บ้าน บุ้งเล่าว่ามาพัทยาครั้งแรกในวัย 12 ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่ามาเสี่ยงดวงเอาที่นี่ มาเริ่มต้นใหม่ที่นี่ เพราะรู้มาที่พัทยามีงานให้ทำเยอะ มีอิสระ ที่สำคัญพัทยาเป็นมิตรกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศอีกด้วย ในเมื่อมีที่อื่นเป็นมิตรกว่าที่บ้าน เธอจึงยอมมาตายเอาดาบหน้าที่นี่
บุ้งรู้จักพัทยาทั่วทุกมุมราวกับว่าอยู่มาตั้งแต่เกิด เธอตระเวนหางานทำไปเรื่อยๆ ได้งานบ้าง ไม่ได้งานบ้าง หนึ่งในนั้นคืออาชีพขายบริการเพราะเป็นอาชีพที่รายได้ดีพอสมควร ในเวลาเดียวกันเธอก็ทำอาชีพเก็บของเก่าขายเป็นรายได้เสริมอีกด้วย
“พัทยามีงานให้ทำเยอะก็จริง แต่งานมันเลือกคน บางงานต้องทำ 11-12 ชั่วโมง จะมีสักกี่คนที่ทำไหว”
แต่เพราะด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บุ้งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีรายได้ไม่มีเพียงพอและเสี่ยงจะไม่มีที่อยู่เนื่องจากไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องได้ ซ้ำร้ายมาเจอโรคโควิด-19 แพร่ระบาด แน่นอนว่าเธอจำเป็นต้องเลิกอาชีพขายบริการไปเลย
โควิดมา งานหาย เงินไม่เหลือ ท้ายที่สุดบุ้งตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตข้างนอก
“พอเจ้าของตึกให้ออก เราก็ไม่เป็นไร เราก็พยายามคิดบวก เดินไปเห็นคนนอนใต้สะพาน เราเลยคิดว่างั้นเรานอนก็ได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็นคนไร้บ้าน”

บุ้งเล่าว่าถึงเธอจะดูเป็นคนง่ายๆ แต่การปรับตัวเป็นคนไร้บ้านนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งความสงสัยที่ว่าจะอาบน้ำที่ไหน จะกินอะไร จะนอนตรงไหน และจะเอายังไงต่อ แต่ละวันผ่านไปพร้อมกับคำถาม แต่พอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ คำตอบก็จะตามมาเอง
“ตอนนั้นมันหน้าฝนด้วยลำบากมากเลยนะ เราต้องตื่นก่อน 6 โมงเพราะจะมีคนมาไล่ ก็ต้องหอบผ้าไปนั่งตรงข้างป่าก่อน พอเขาไปแล้วค่อยกลับลงไปนอนที่เดิม”
หนักกว่านั้นคือการโดนแกล้งจากคนที่ขับรถผ่านไปมา บุ้งเล่าว่าบางทีนอนอยู่ก็มีคนปาประทัดใส่ แถมยังต้องทนจากสายตาของคนที่มองด้วยความรังเกียจ ความกลัว ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกเขาเลย แต่บุ้งเล่าว่า เธอทนได้ เพราะเธอคิดเสมอว่าคนที่นอนอยู่ตรงนี้มีแค่เธอ และเธอก็ไม่ได้ไปขอใครกิน
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะในช่วงที่โควิดระบาดอย่างหนัก มีหน่วยงานและประชาชนหลายคนออกมาแจกจ่ายอาหารให้คนทั่วไปรวมถึงคนไร้บ้านก็ด้วย บางทีก็มีคนให้เงินเล็กๆ น้อยๆ บุ้งก็เก็บไว้
“ตอนเป็นคนไร้บ้าน เรารู้สึกว่าแค่การเดินแล้วมีขนมให้กิน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลย แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว”
ถึงจะมีความสุขแต่ก็ใช่ว่าบุ้งอยากจะเป็นคนไร้บ้านไปตลอด เธอพยายามผลักตัวเองให้หลุดพ้นจากสถานะนี้ไปให้ได้ พยายามเก็บเงินจากการเก็บของเก่าขายไปเรื่อยๆ ประจวบกับช่วงนั้นรัฐบาลให้เงินช่วยเหลือจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 5,000 บาท บุ้งบอกว่าถ้าไม่ได้เงินก้อนนี้ เธอคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหลุดพ้นจากการเป็นคนไร้บ้านได้
ต้นทุนที่มากขึ้นมีส่วนช่วยก็จริง แต่อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้บุ้งมีความมั่นคงมากขึ้นคือ ‘โอกาส’ ที่ได้รับจาก เครือข่ายสุขภาพและโอกาส เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี HON (Health and Opportunity Network) โอกาสนี้มาจากเพื่อนคนไร้บ้านด้วยกันที่ชักชวนให้มาเป็นแกนนำช่วยเหลือเพื่อนๆ คนไร้บ้าน

แกนนำจะได้เข้ารับการอบรมเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน ทั้งในแง่กฎหมายในกรณีที่คนไร้บ้านไม่มีบัตรประชาชนและต้องการเข้าถึงสิทธิ และในแง่การดูแลสุขภาพ เช่น การทานยาต้าน HIV การดูแลตัวเอง ไปๆ มาๆ บุ้งก็ได้ทำงานที่ HON ผ่านการชักชวนจาก ‘เตย-รชยาภรณ์ธวี ธนวัตน์เทวากุล’ ผู้จัดการเครือข่ายสุขภาพและโอกาส เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
เมื่อมีงาน ก็มีเงิน เมื่อมีเงิน ก็สามารถมีบ้านได้ บุ้งค่อยๆ ผลักตัวเองออกมาจากการเป็นคนไร้บ้าน อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอทำได้คือ ‘ความมั่นใจ’ HON ทำให้บุ้งรู้สึกว่าตัวเองยังมีทักษะ มีความรู้ และสามารถมีชีวิตตามแบบที่ต้องการได้
“คำว่าโอกาสหาได้ยากมากนะสำหรับคนไร้บ้าน มันน้อยมากที่จู่ๆ เราอยู่ตามถนนแล้วมีคนอยากจะช่วยเหลือเรา พอเรามีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ก็กระตุ้นให้เราอยากพัฒนาชีวิตตัวเองมากขึ้น”
บุ้งรู้ดีว่าโอกาสหายากถึงแม้จะไม่ใช่คนไร้บ้านแล้ว เธอก็ยังแวะไปหาเพื่อนๆ คนไร้บ้านที่อยู่ด้วยกันตลอด คอยเข้าไปถามไถ่ว่ามีอะไรที่จำเป็นต้องกินต้องใช้บ้าง บางทีก็ช่วยเพื่อนหางาน บางครั้งว่างๆ บุ้งก็เข้าไปนั่งเล่นกับเพื่อน
“คนไร้บ้านไม่ใช่คนเลวร้ายหรือมีพิษมีภัยอะไร ตอนที่เราเป็นคนไร้บ้าน เคยมีคนเอาของมาแจก แต่เราไม่อยู่ คนไร้บ้านที่เรารู้จักเขาก็จะเก็บของแจกเผื่อไว้ให้เรา ขนาดเป็นคนไร้บ้านด้วยกันเขายังมีน้ำใจกับเราเลย”
แกนนำแบบบุ้งเป็นหนึ่งหน่วยสำคัญที่ช่วยทำให้การทำงานช่วยเหลือคนไร้บ้านของ HON เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เพราะเธอคือคนที่รู้จักและเข้าใจการเป็นคนไร้บ้านได้อย่างดี
หนึ่งชีวิตหลายมิติ
คู่หูในการทำงานใน HON ของบุ้งคือ ‘ปลา-อรวัญ ฟุ้งฟูศรี’ เจ้าหน้าที่ดูแลสนับสนุนส่งต่อผู้รับบริการ ปลาเล่าว่าทั้งบุ้งและเธอแทบจะใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงไปกับการดูแลคนไร้บ้าน ตั้งแต่ช่วยหายา หาบัตรประชาชน ไปจนถึงหาญาติ เลยก็มี
เป้าหมายของ HON คือการทำให้ ‘สุขภาพดี’ เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนควรจะเข้าถึงได้ การจะมีสุขภาพดีไม่ใช่เพราะออกกำลังกายอย่างเดียว มันต้องมาจากพื้นฐานที่ดี ชีวิตประจำที่ดี ว่าง่ายๆ คือ ทุกมิติชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหมด
“การช่วยเหลือประเด็นคนไร้บ้านไม่ใช่เป้าหมายหลักในตอนแรก แต่ว่ามันเป็นปัญหาที่ทับซ้อนกันหมด ก็เลยจะต้องแก้กันทั้งหมด”
ความช่วยเหลือขั้นแรกที่ปลาและบุ้งทำ คือการพาคนไปหาหมอ สมาชิกที่อยู่ในการดูแลของ HON มีทั้งคนไร้บ้านและไม่ไร้บ้าน ในขณะเดียวก็มีคนที่ทำอาชีพหลากหลาย หนึ่งในนั้นคืองานขายบริการ ซึ่งบางครั้งคนขายบริการกับคนไร้บ้าน คือ คนเดียวกัน เพราะฉะนั้นอาชีพที่เสี่ยงแบบนี้จึงจำเป็นจะต้องเข้าถึงสิทธิการรักษาและสวัสดิการต่างๆ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมา จะได้รักษาได้ทัน
“ความช่วยเหลือแรกๆ ที่เราทำคือพาเขาให้เข้าถึงสิทธิการรักษา บางคนมาจากต่างจังหวัดเราก็ช่วยเรื่องเอกสารย้ายสิทธิจากจังหวัดเดิมมาที่นี่ บางคนไม่มีบัตรประชาชนเราก็พาเขาไปทำบัตร ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการหาญาติเพื่อยืนยันตัวตน”
เมื่อกระบวนการทำบัตรหรือย้ายสิทธิเสร็จสิ้น สิ่งต่อมาที่ทำคือเฝ้าดูให้พวกเขากินยาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วย HIV คือกลุ่มที่ทาง HON พยายามเข้ามาดูแล บุ้งกับปลาจะคอยเตือนให้ผู้ป่วยกินยาสม่ำเสมอและพาไปรับยาตามเวลานัด เพื่อที่เชื้อจะไม่หนักขึ้นและไม่ถูกส่งต่อสู่คนอื่นๆ

เนื่องจากในกลุ่มคนไร้บ้านบางคนทำอาชีพขายบริการอีกด้วย มีการคิดค่าบริการต่อครั้งน้อยกว่าทั่วไปและเป็นการขายบริการที่ไม่ได้ปลอดภัยสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาเลือกจะดำรงชีวิตด้วยอาชีพนี้ แทนที่จะบังคับให้เขาเปลี่ยน ก็ควรจะมาซัปพอร์ตให้เขาทำอย่างถูกที่ ถูกทาง ถูกกิจจะลักษณะดีกว่า กระบวนการเหล่านี้จึงเรียกว่า ‘แคร์ซัปพอร์ต (Care Support)’
ไม่ใช่แค่ปรับวินัยในการใช้ชีวิต แต่รวมถึงการปรับทัศนคติด้วย HON พยายามทำให้กลุ่มคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV เข้าใจว่าตัวเองไม่ใช่ตัวอันตราย และเป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่นๆ บางคนไม่กล้าพูด ไม่กล้าเข้าสังคมเพราะความกลัว ความเข้าใจตรงนี้จึงต้องปรับกันใหม่เพื่อให้เข้ากับสังคมได้ และที่สำคัญคือไม่โทษตัวเอง
นอกจากนี้ยังช่วยหาอาชีพเล็กๆ น้อยๆ ให้คนไร้บ้านตามที่พวกเขาต้องการ ปลาเล่าว่าที่พัทยามักจะมีเทศกาลพลุนานาชาติที่จัดขึ้นทุกปี คนไร้บ้านหลายคนก็อยากหาอะไรขาย ซึ่งปลาก็พาไปลงทุนแล้วก็เดินขายไปด้วย
“อย่างช่วงมีงานเทศกาลงานพลุ น้องๆ ก็มีอารมณ์อยากเป็นแม่ค้า อยากมีอาชีพ เราก็ไปหาข้าวเกรียบมา แล้วก็พาเขาเดินขายในงานเลย”
กรณีที่น่ากังวลขึ้นมาหน่อย คือการที่คนไร้บ้านถูกตำรวจจับ เจ้าหน้าที่พาย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือในบางกรณีก็ถูกทำร้ายจากคนทั่วไป ปลาเล่าว่าถ้าเกิดเคสฉุกเฉินแบบนี้เธอกับบุ้งก็จะช่วยกันขี่มอเตอร์ไซต์ตามหาน้องๆ ที่หายไป
ระหว่างคุยกัน เราสังเกตได้ว่าปลามักจะแทนกลุ่มคนไร้บ้านว่าน้อง มีบางครั้งที่คุยขำๆ เธอกับบุ้งก็จะเรียกว่าลูกสาว เธอบอกว่าเห็นพวกเขาเป็นน้องคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดาที่ควรจะได้รับการเข้าถึงโอกาสเหมือนกับคนทั่วไป ในขณะที่กลุ่มคนไร้บ้านมักจะเรียกปลา บุ้ง รวมถึงเตยว่าแม่
“เขาเป็นคนไร้บ้านโดนคนอื่นรังเกียจ แต่ก็ยังมีพวกเราที่ไม่รังเกียจเขา เรามองว่าเขาคือน้อง แล้วพอเขาเจอเรา เขาก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส จะมีความสุขทุกครั้งที่เราอยู่กับเขา”

โอกาสหายาก แต่ไม่ใช่ว่าหาไม่ได้
ปลาบอกว่าที่เธอเข้าใจคนไร้บ้านดี เพราะเธอรู้ว่าการมีโอกาสมันสำคัญแค่ไหน ปลาเป็นคนหนึ่งที่ในอดีตเคยทำผิด ใช้สารเสพติดจนทำให้ต้องยุติการทำงานจากที่เก่า และมีสภาวะรักษาซึมเศร้าเนื่องจากสารเสพติด ในเวลานั้นเธอถูกปิดกั้นจากคำว่าโอกาส พอได้มาเจอกับ HON ปลาบอกว่าเธอเล่าข้อผิดพลาดที่ตัวเองเคยทำไปทั้งหมดและ HON ก็ยังให้โอกาสปลาได้ทำงานช่วยเหลือคนอื่นๆ อยู่
เมื่อได้รับโอกาสในการทำงานมาแล้ว ประกอบกับการลาขาดจากยาเสพติด ปลาจึงทำหน้าที่ส่งเสริมคนกลุ่มนี้ เพื่อให้พวกเขามีสิทธิและศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับคนอื่นในสังคม
“1 คนมีหลายเฉดสี เพราะฉะนั้นงานหลักของเราเลยไม่ได้เป็นพนักงานแคร์ซัปพอร์ตอย่างเดียว แต่มันซัปพอร์ตทุกเรื่องเลยของชีวิตคน”
แต่ถึงอย่างนั้นปลาก็บอกกับเราว่า เธอเองก็ไม่สามารถจับมือทุกคนให้ทำ มันต้องมาจากความสมัครใจของคนไร้บ้านจริงๆ ที่อยากจะได้รับการช่วยเหลือ และพอเข้ามาอยู่ในกระบวนการ คนไร้บ้านเองก็ต้องมีใจที่จะพัฒนาตัวเองด้วย
“มีกรณีที่ต้องมีบัตรประชาชนถึงจะเข้าถึงสิทธิการรักษา ซึ่งมันก็ต้องมีการสืบหาญาติเพื่อยืนยันตัวตน เราก็จะถามคนไร้บ้านก็ว่าเขาโอเคไหม เขาอนุญาตหรือเปล่า แบบนั้นถึงทำต่อได้” เตยเสริม

เพราะที่สุดแล้วทุกคนต้องการโอกาส แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยคนไร้บ้านก็รู้ว่ายังมีหน่วยงานที่พร้อมจะมอบโอกาส เมื่อถึงเวลาที่อยากจะพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเอง เขาก็จะรู้สึกว่ายังมีที่พึ่งเสมอ ไม่ได้โดดเดี่ยวท่ามกลางเมืองใหญ่อีกต่อไป
