ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ไม่มีศักดิ์ศรี และอคติที่ตีตราคนไร้บ้าน : บทสำรวจ ‘คนไร้บ้าน’ ในสื่อช่วงปีที่ผ่านมา เหมือนจะดีขึ้นแต่แย่ลง

เรื่องราวของคนไร้บ้านเป็นที่รับรู้มากขึ้นผ่านการสื่อสารต่างๆ ทั้งในระดับนโยบาย ชุมชน และบุคคลที่อยู่ในกลุ่มประชากรเปราะบาง และพอรับรู้มากขึ้น ลำดับถัดไปคือความเข้าใจที่มากขึ้นว่าการที่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนจากการเป็นคนมีบ้านมาเป็นคนไร้บ้าน มาจากเหตุผลและปัจจัยอะไรได้บ้าง 
แต่จากการสำรวจสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 30 เมษายน 2568 ทั้งหมด 726 สื่อ แบ่งเป็นข่าวจากเว็บไซต์ จำนวน 228 ข่าว (31.4%) และโพสต์บน Facebook จำนวน 498 โพสต์ (68.6%) เราพบว่า ทัศนคติเชิงลบหรืออคติต่อคนไร้บ้าน ยังมีมากกว่า 50% ทัศนคติที่ไม่แสดงว่าเป็นบวกหรือลบ30.26% และ เชิงบวก 12.28%

เรื่องราวของคนไร้บ้านเป็นที่รับรู้มากขึ้นผ่านการสื่อสารต่างๆ ทั้งในระดับนโยบาย ชุมชน และบุคคลที่อยู่ในกลุ่มประชากรเปราะบาง และพอรับรู้มากขึ้น ลำดับถัดไปคือความเข้าใจที่มากขึ้นว่าการที่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนจากการเป็นคนมีบ้านมาเป็นคนไร้บ้าน มาจากเหตุผลและปัจจัยอะไรได้บ้าง 

แต่จากการสำรวจสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 30 เมษายน 2568 ทั้งหมด 726 สื่อ แบ่งเป็นข่าวจากเว็บไซต์ จำนวน 228 ข่าว (31.4%) และโพสต์บน Facebook จำนวน 498 โพสต์ (68.6%) เราพบว่า ทัศนคติเชิงลบหรืออคติต่อคนไร้บ้าน ยังมีมากกว่า 50% ทัศนคติที่ไม่แสดงว่าเป็นบวกหรือลบ30.26% และ เชิงบวก 12.28% 

อคติ : เนื้อหาที่สะท้อนอคติมักนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมที่คนไร้บ้านก่อขึ้น เช่น การใช้สารเสพติดจนมีปัญหาทางจิตเวช  รวมถึงการนำเสนอชีวิตที่ยากลำบากของคนไร้บ้านด้วยน้ำเสียงรังเกียจหรือแฝงการตัดสิน

ไม่แสดงว่าเป็นบวกหรือลบเนื้อหาส่วนใหญ่ที่สะท้อนความเห็นเป็นกลางมักเกี่ยวข้องกับการรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐหรือการช่วยเหลือคนไร้บ้านของผู้มีชื่อเสียงในสังคม เช่น การจัดสรรที่อยู่อาศัย การแจกสิ่งของจำเป็น การนำตัวเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล

เชิงบวก : เนื้อหาเชิงบวกส่วนใหญ่เสนอเรื่องราวของคนไร้บ้านจากมุมมองของพวกเขาเอง การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือความสำเร็จหลังจากได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การเข้าถึงบริการสุขภาพ และทักษะการทำงาน 

นอกจากนี้ จากการสำรวจพาดหัวและเนื้อหาข่าวเกี่ยวกับคนไร้บ้าน พบว่า สื่อใช้คำเรียกคนไร้บ้านว่า ‘คนเร่ร่อน’ มากที่สุด 53.15% รองลงมาเป็นคนไร้บ้าน 42.54% และ คนจรจัด 3.95% 

ด้านภาพที่ปรากฏบนสื่อพบว่า มักเป็นภาพที่ตอกย้ำอคติหรือภาพจำเดิม เช่น คนไร้บ้านเป็นคนสกปรกนอนข้างถนน มีท่าทีอันตราย โดยมีการนำเสนอภาพในลักษณะนี้มากถึง 92.92% 

ต่อกันที่เนื้อหา เราพบว่า เนื้อหาเกี่ยวกับคนไร้บ้านถึง 85.53% จะไม่มีเสียงพูดของคนไร้บ้าน แต่จะเป็นการเล่าผ่านนักข่าวหรือนำเสนอแบบตีความ และถูกพูดแทนโดยคนทำงานทั้ง NGO และภาครัฐ​ส่งผลให้เนื้อหาที่คนไร้บ้านพูดเองมีเพียง 9.65% 

เมื่อถูกพูดแทนหรือตีความโดยคนอื่น โอกาสในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ถ่ายทอดไม่ครบถ้วน หรือคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงจึงมีสูง ทำให้คนไร้บ้านถูกวางบทบาทให้กลายเป็น ‘คนที่รอความเมตตา’ ผ่านข่าวการมอบของ (ถุงยังชีพ, อาหาร) จากภาครัฐ องค์กรเอกชน และบุคคลทั่วไป 

อีกบทบาทที่ถูกผลิตซ้ำอย่างเข้มข้นไม่แพ้กันของคนไร้บ้าน คือ ‘อาชญากร’ ซึ่งมักปรากฏการใช้ภาพจำซ้ำๆ ในหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน เช่น คนแต่งกายมอมแมม, นอนอยู่ริมถนน, และท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ผ่านการใช้ถ้อยคำในพาดหัว เช่น “ชายเร่ร่อนคลุ้มคลั่ง” , “คนจรจัดพยายามขโมยของ” เนื้อหาเน้นให้เกิดความกลัวหรือความไม่ไว้ใจ 

คนไร้บ้านจึงถูกจดจำในฐานะ ‘ภัยสังคม’ มากกว่าผู้ที่ต้องการโอกาสและระบบสนับสนุน

ขยับมาที่โซเชียลมีเดีย จากการเก็บข้อมูลรวมจาก 498 โพสต์ ในช่วงเวลาตามกรอบการศึกษา และคัดเลือก 3 อันดับแรกของคอมเมนต์ที่มีการกดถูกใจมากที่สุดพบว่า มียอดแชร์รวมกว่า 104,081 แชร์ ยอดไลก์รวมกว่า 2,661,069 ไลก์  และยอดแสดงความคิดเห็นกว่า 930 ครั้ง

ยกตัวอย่าง คลิปข่าว “แค่เขายกมือไหว้ก็ถือเป็นการให้พรแล้ว” ที่มีทั้งยอดเอนเกจเมนท์ ยอดแชร์ และคอมเมนต์สูงมาก ซึ่งนำเสนอภาพคนไร้บ้านในฐานะ ‘ผู้รับ’ ที่แสดงความซาบซึ้งต่อ ‘ผู้ให้’ ผ่านภาพหรือวิดีโอ เช่น การก้มกราบ ยกมือไหว้ หรือแสดงอาการดีใจเมื่อได้รับของบริจาค

โดยเนื้อข่าวระบุว่า “เปิดใจเจ้าของบ้าน ทำข้าวกล่องวางไว้หน้าบ้าน เพื่อให้คนไร้บ้านหรือเร่ร่อนได้กิน เผยแค่เขายกมือไหว้ขอบคุณ ก็เหมือนได้รับพรที่แสนพิเศษแล้ว” โดยโพสต์นี้ได้ถึง 38,000 แชร์ ยอดไลก์สูงสุด คือ 1,100,000 ไลก์ เป็นข่าวที่เล่าเรื่องคนไร้บ้านในเชิงสะเทือนใจและกระตุ้นความรู้สึกเมตตา 

แม้ข่าวดังกล่าวจะแสดงทัศนคติเชิงบวก และตั้งอยู่บนความปรารถนาดี แต่ก็เป็นสายตาที่มองมาด้วยความสงสารจากผู้ให้สู่ผู้รับ ท่ามกลางทัศนคติที่เป็นลบหรืออคติ ในสื่อโซเชียลมีเดียที่สูงถึง 83.66% ของความคิดเห็นทั้งหมด ต่างสะท้อนการตีตรา ดูหมิ่น และแสดงความรังเกียจต่อคนไร้บ้านอย่างชัดเจน  ยกตัวอย่างข่าวที่นำเสนอเชิงนโยบายอย่าง “กทม. หารือตำรวจและ พม. เตรียมจัดระเบียบคนไร้บ้าน-ขอทาน นำร่องตลอดแนวถนนสุขุมวิท” ก็ยังพบคอมเมนต์ต่างๆ ที่เสนอให้ “คุมขัง” “บังคับใช้แรงงาน” หรือ “ลงโทษคนไร้บ้านให้หลายจำและกลับตัวกลับใจ” 

ส่วน ทัศนคติเป็นกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 12.04% ของจำนวนความเห็นที่มีการสำรวจพบ มักแสดงความคิดเห็นในลักษณะให้ความสำคัญกับการดำเนินการของรัฐหรือหน่วยงานช่วยเหลือ โดยไม่แสดงอารมณ์รุนแรงหรืออคติต่อคนไร้บ้านโดยตรง อาทิ การขอบคุณเจ้าหน้าที่, ชื่นชมการทำงานขององค์กร NGO หรือการสนับสนุนการย้ายคนไร้บ้านออกจากพื้นที่สาธารณะ เหล่านี้สะท้อน ความพึงพอใจในความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ มากกว่าความเข้าใจต่อรากปัญหาของคนไร้บ้าน

สุดท้าย ตัวเลข 4.30% คือความเห็นเชิงบวกต่อคนไร้บ้าน กลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึง ความเข้าใจเชิงโครงสร้าง และมีมุมมองที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ของคนไร้บ้าน และเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่ เช่น ยกประเด็น ‘สุขภาพจิต’ ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ หรือ ‘ปัญหาเศรษฐกิจ’ มาร่วมอธิบายและแสดงความเห็นด้วยการอธิบายสาเหตุเชิงโครงสร้างของการทำให้คนๆ หนึ่งต้องไร้บ้าน 

จึงเป็นข้อสรุปเบื้องต้นว่า แม้คนไร้บ้านจะได้พื้นที่ในสื่อ แต่พื้นที่เหล่านั้นยังเต็มไปด้วยก้อนหินมากกว่าดอกไม้ โดยสื่อเองก็มีส่วนสมรู้ร่วมคิดอยู่ไม่น้อย  

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่: