บทความจาก New York Times รายงานว่า คนอเมริกาไร้บ้านน่าจะเพิ่มขึ้นอีกสามเท่าตัวในทศวรรษที่จะมาถึง แต่ตัวเลขนี้ยังไม่ได้คำนวณผลกระทบจากโควิด-19
ในเมืองฟีนิกซ์ ภาวะไร้บ้านถึงจุดวิกฤตแล้ว งานที่หดหายไปเมื่อโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด ผลักให้คนจำนวนมากตกอยู่ในภาวะไร้บ้าน นอกจากนี้ โควิด-19 ทำให้ชีวิตของคนไร้บ้านยากขึ้นเมื่อห้องสมุดและร้านอาหารที่เคยเป็นที่หลบร้อนในเมืองฟีนิกซ์ปิดตัวลง และคนไร้บ้านต้องฝ่าฟันความร้อนระอุแสนอันตราย
อย่างกรณีของคุณ Miles Oliver ผู้กลายเป็นคนไร้บ้านช่วงโควิด-19 แม้ว่าจะมีคำสั่งห้ามขับไล่ผู้เช่าก็ตาม เขาไม่สามารถพักกับคนในครอบครัว และไม่สามารถหางานใหม่ได้ นอกจากนี้รถที่เขาใช้นอนและรับงานต่างๆ ก็พังลง เมื่อพยายามเข้าพักในศูนย์พักพิงที่นอนก็เต็มเสียหมด
Matthew Fong อายุ 60 ปี เขามีปัญหาสุขภาพเรื้อรังและถูกไล่ออกจากงาน เมื่อตกงานและไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ เขาจึงต้องอาศัยอยู่ที่โรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่ง
แม้ว่าชาวเบบี้บูมเมอร์จะถูกมองว่าเป็นเจนเนอร์เรชั่นที่มั่งคั่งที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เบบี้บูมเมอร์แบ่งได้เป็นสองรุ่น กลุ่มแรกได้รับประโยชน์เศรษฐกิจที่กำลังเติบโต แต่กลุ่มที่เกิดในปี 1955 – 1964 เข้าสู่ตลาดแรงงานและอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแข่งขันสูง และช่วงวัย 20 ของพวกเขาก็เป็นยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอีกด้วย
ปัญหาเหล่านี้ทำให้คนที่ยากจนและเข้าไม่ถึงการศึกษาไม่สามารถตั้งตัวได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวสีและ LGBTQ+ ที่ยังต้องเจอกับวิกฤตโคเคนที่พรากอนาคตของวัยรุ่นหลายๆ คน และ วิกฤต HIV ที่พรากชีวิตมากมาย คนเหล่านี้เป็นคนไร้บ้านกลุ่มใหญ่ของอเมริกา พวกเขาต้องเข้าๆ ออกๆ ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน คนกว่า 6 ใน 10 มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 และการหางานใหม่ก็เป็นเรื่องยาก เมื่อหลายๆ บริษัทไม่อยากจ้างคนแก่เข้าทำงาน
ภาวะไร้บ้านเกิดขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งไม่สามารถจ่ายค่าบ้านของตัวเองได้ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเพราะโควิด-19 ภาวะคนไร้บ้านจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา ในเมืองฟีนิกซ์คนกว่า 365,000 คน (ประมาณร้อยละ 40) อาจจะถูกไล่ออกจากบ้านเมื่อคำสั่งห้ามขับไล่ผู้เช่าสิ้นสุด
วิกฤตคนไร้บ้านยังเห็นเด่นชัดขึ้นในภาวะโควิด-19 โครงการและมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาในระยะยาว เงินเยียวยาธุรกิจและค่าเช่าไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหา นอกจากนี้มาตรการรักษาสุขภาพยังทำให้ศูนย์พักพิงรับคนไร้บ้านได้น้อยลง และคนที่เข้าพักได้ก็ยังเสี่ยงจะติดโรคอยู่ดี
ในอนาคต การช่วยเหลือคนไร้บ้านจะต้องหันมารองรับผู้ใหญ่วัยกลางคน แม้ว่าคองเกรสจะอนุมัติงบประมาณกว่า 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้านในปี 2020 เงินก้อนโตอย่างนี้ไม่น่าจะได้มาบ่อยๆ นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงถาวรจากเงินก้อนนี้ เช่น บ้านพักชั่วคราว ศูนย์พักพิงสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเข้าสู่วังวนของภาวะไร้บ้าน
โชคดีที่ Oliver ได้เข้าพักในอพาร์เมนต์หลังใหม่หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากโครงการของทหารผ่านศึก และอีกไม่นาน Fong ก็ได้ย้ายออกจากโรงแรมที่อยู่มาสามเดือน แต่คนไร้บ้านอีกจำนวนมากก็ยังคงต้องใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะและศูนย์พักพิงต่อไป
ที่มา: https://www.nytimes.com/2020/09/30/magazine/homeless-seniors-elderly.html