
“บ้านพักพิงระยะสั้นหรือทางรอดถาวร?”: การเปลี่ยนผ่านนโยบายในแคลิฟอร์เนียสู่ยุคหมู่บ้านขนาดเล็กสำหรับคนไร้บ้านและทางเลือกที่ยืดหยุ่น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐแคลิฟอร์เนียได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของนโยบายการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถกเถียงในประเด็น “ที่พักพิงระยะสั้น” หรือที่เรียกกันว่า interim housing ซึ่งรวมถึงบ้านพักพิงรูปแบบใหม่อย่าง “หมู่บ้านสำหรับคนไร้บ้าน” (tiny house villages) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายเมืองใหญ่ เช่น เมืองซานโฮเซและเมืองซานฟรานซิสโก
การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายในครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความกดดันทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะคำตัดสินของศาลสูงสุดในคดี Grants Pass v. Johnson ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางให้เมืองต่างๆ ปิดแคมป์พักแรมของคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ และเร่งพัฒนาโครงสร้างที่พักพิงระยะสั้น เพื่อให้สามารถนำคนไร้บ้านออกจากท้องถนนและพื้นที่สาธารณะได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายกเทศมนตรีเมืองซานโฮเซ Matt Mahan เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนแนวทางนี้อย่างแข็งขัน เขาให้คำมั่นว่าจะสร้างที่พักระยะสั้นใหม่จำนวนมากกว่า 1,000 หน่วย ภายในสิ้นปี 2025 และประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “การไร้บ้านไม่ควรเป็นทางเลือก” โดยเชื่อว่ารัฐบาลมีหน้าที่สร้างที่พักอาศัยให้กับพลเมืองและพลเมืองไร้บ้านทุกคนมีหน้าที่ในการเข้าอยู่อาศัยหากมีทางเลือกที่เหมาะสม
ด้านเมืองซานฟรานซิสโกได้มีการวางแผนการดำเนินงานในทิศทางเดียวกัน โดยนายกเทศมนตรีคนใหม่ Daniel Lurie ได้ประกาศแผนขยายที่พักระยะสั้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการย้ายผู้คนออกจากท้องถนนและพื้นที่สาธารณะอย่างเร่งด่วน ส่งผลให้จำนวนแคมป์พักแรมของคนไร้บ้านลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 2019 เป็นต้นมา แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลให้มีจำนวนคนไร้บ้านที่ถูกจับกุมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 700 คน นับตั้งแต่คำตัดสิน Grants Pass มีผลบังคับใช้
Elizabeth Funk ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไร DignityMoves หนึ่งในกลุ่มที่พยายามผลักดันแนวทางใหม่ในการจัดการปัญหานี้ ได้กล่าวว่าระยะเวลาอยู่อาศัยในที่พักพิงชั่วคราวนั้นอยู่ที่ราวๆ 8 เดือน แต่เมื่อโครงการที่พักพิงระยะสั้นนี้ขยายโครงการออกไป ผูุ้อยู่อาศัยจะสามารถอยู่ได้นานขึ้นหากพวกเขาต้องการอย่างไรก็ตามปัญหาของโครงการนั้นไม่ได้อยู่ที่ความชั่วคราวของบ้าน แต่อยู่ที่ต้นทุนในการดำเนินโครงการที่เมืองต่างๆ ต้องแบกรับ เช่น ค่าอาหาร การบำรุงรักษา และการให้บริการทางสังคม ซึ่งปัจจุบันเมืองเหล่านี้ยังไม่มีแหล่งทุนที่ถาวรแน่นอน
และแม้ว่าบางฝ่ายจะยอมรับว่าแนวทางใหม่นี้มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อวิพากษ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ตั้งคำถามว่า การเน้นเพียงการลดจำนวนคนไร้บ้านบนท้องถนน โดยไม่พูดถึงคนไร้บ้านที่ต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงที่แออัด อาจเป็นเพียงการแก้ปัญหา “ภาพลักษณ์” มากกว่าการยุติความไร้บ้านอย่างแท้จริง
ทางออกที่กำลังได้รับการผลักดันคือ “บัตรกำนัลค่าเช่า” (Housing Choice Vouchers) ของรัฐบาลกลาง ซึ่งจากผลการศึกษาของรัฐบาลกลางได้แสดงให้เห็นว่ามีผู้ถือบัตรกำนันค่าเช่าเพียงร้อยละ 60 เท่านั้นที่สามารถหาที่พักอาศัยจากเอกชนได้ จึงเห็นว่าควรอนุญาตให้นำเงินอุดหนุนค่าเช่าในส่วนนี้ มาใช้เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของที่พักระยะสั้น ด้านอดีตนายกเทศมนตรีเมืองซานโฮเซ Sam Liccardo ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กำลังผลักดันร่างกฎหมายใหม่นี้ เพื่อเปิดทางให้บัตรกำนัลค่าเช่าสามารถใช้กับที่พักพิงระยะสั้นได้ โดยให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้มีการใช้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนถึงความเสี่ยง ที่อาจลดคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้านในระยะยาว Alex Visotzky นักวิจัยจาก National Alliance to End Homelessness เตือนว่า การขยายจำนวนวันเข้าพักในบ้านชั่วคราวโดยไม่มีการขยับสู่ที่อยู่อาศัยถาวรนั้น อาจกลายเป็นการยืดเวลาความยากจน และไม่อาจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างยั่งยืน
บทเรียนจากแคลิฟอร์เนียจึงได้สะท้อนถึงความจำเป็นของ “ความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย” (policy flexibility) ที่สามารถตอบสนองและโอนอ่อนตามสถานการณ์เร่งด่วนได้โดยไม่ละเลยหลักสิทธิมนุษยชนและคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้านในระยะยาว สุดท้ายนี้บ้านพักพิงระยะสั้นอาจเป็นคำตอบที่เหมาะสมในบางบริบทพื้นที่ แต่จะเป็นคำตอบสุดท้ายของวิกฤตคนไร้บ้านหรือไม่นั้น ยังคงเป็นคำถามที่ต้องการการศึกษาวิจัยและการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป
