
หน้าฟีดบนมือถือของเราในแต่ละวัน มักจะมีข่าวอาชญากรรมหรือข่าวสังคมโผล่ขึ้นมาให้เห็นจากการแชร์ต่อกันมาของเพื่อนในโซเชียลมีเดีย หนึ่งในตัวละครที่โผล่มาอยู่บ่อยๆ ในข่าวประเภทนี้ คือ ‘คนไร้บ้าน’ บางครั้งพวกเขาก็เป็นเพียงตัวประกอบ บางครั้งกลายเป็นตัวร้ายของเรื่อง แต่น้อยครั้งที่จะได้เป็นตัวเอกในเรื่องเล่าของตัวเอง หรือได้เล่าเรื่องราวด้วยเสียงของตัวเองจริงๆ ที่ผ่านมาเสียงของพวกเขาจึงแทบไม่เคยถูกได้ยิน ขณะที่ภาพจำของพวกเขาเสียงกลับดังกว่าและถูกผลิตซ้ำในปริมาณที่มากพอจนกลายเป็นอคติที่ฝังรากในใจผู้คนโดยไม่รู้ตัว
ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มีเหตุผลด้านจิตวิทยาอยู่เบื้องหลัง ผลงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 9
งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE อธิบายไว้ว่า อคติคือทัศนคติที่เรามีต่อกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง โดยมักเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับความจริง บวกกับความรู้สึกไม่ชอบหรือเกลียด จนสะท้อนออกมาในพฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ อคติเหล่านี้มักทำให้เราสร้างภาพเหมารวม (stereotype) และตัดสินคุณค่าของคนกลุ่มนั้นๆ จากภาพลักษณ์ที่คิดขึ้นมา
งานวิจัยชี้ประเด็นสำคัญว่าการตัดสินแบบนี้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมได้ เช่น คนไร้บ้าน มักถูกมองว่าไม่สนใจสังคมหรือเกียจคร้านจนไม่สามารถทำงานได้ และถูกตัดสินว่าตกอยู่ในสถานการณ์นี้เพราะชีวิตล้มเหลวเอง ภาพเหมารวมแบบนี้จึงตีกรอบและปิดโอกาสของพวกเขา ทำให้ถูกปฏิเสธงานหรือโอกาสต่างๆ ตั้งแต่แรก ทั้งที่จริงๆ แล้วคนไร้บ้านแต่ละคนก็มีเรื่องราวและเหตุผลเฉพาะตัว ด้วยเหตุนี้ ภาพเหมารวมและอคติไม่เพียงแต่สร้างความไม่เป็นธรรมให้คนกลุ่มนั้น แต่ยังทำให้พวกเขาเสียโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย
บทความนี้จึงชวนสำรวจว่า ในสายตาและมุมมองของสื่อ คนไร้บ้านอยู่ตรงไหน ได้รับบทบาทอะไร สุดท้ายมุมมองนี้ทำให้สังคมมองและปฏิบัติต่อคนไร้บ้านแบบไหน และเราเองในฐานะผู้อ่าน ผู้ชม หรือผู้ฟังเล่นบทอะไรอยู่

คนไร้บ้านในบทบาท ‘วัตถุแห่งความเมตตา’ (Objectification)
เวลามีข่าวคนไร้บ้าน เรามักเห็นภาพที่คุ้นเคย คือคนไร้บ้านนั่งอยู่ริมถนน มีคนใจบุญที่เป็นมักคนดัง นักการเมือง หรือประธานมูลนิธิเดินแจกข้าวกล่อง ถุงยังชีพ หรือเงินสด จากรายงานสำรวจภูมิทัศน์คนไร้บ้านในสื่อออนไลน์พบว่าเกือบครึ่งของจำนวนภาพข่าวคนไร้บ้านเป็นภาพในลักษณะนี้ ปัญหาที่ตามมาจากการนำเสนอภาพของคนไร้บ้านคือ ข่าวส่วนใหญ่เน้นนำเสนอแต่ความใจดีของคนให้ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับเสียงและชีวิตที่แท้จริงของคนไร้บ้านทำให้พวกเขากลายเป็นแค่ ‘ตัวประกอบ’ ในเรื่องของคนอื่น แม้ภาพแบบนี้จะช่วยให้ผู้ให้ดูดี ผู้ชมอิ่มใจแต่ก็ทำให้เราไม่เห็นว่าจริง ๆ แล้ว ต้นตอของการกลายเป็นคนไร้บ้านมีความซับซ้อนกว่าภาพที่เห็นในข่าวมาก ตัวอย่างการนำเสนอข่าวในลักษณะนี้ เช่น
“คริสมาสต์อาร์เจนตินา’ อบอุ่น คนไร้บ้านกินอิ่ม งานเลี้ยงการกุศลหน้ารัฐสภา”
“สุดเวทนา ‘กัน จอมพลัง’ลุยช่วย 2 พ่อลูกเร่ร่อน อาศัยหลับนอนลานจอดรถชาวบ้าน”
“สิงห์อาสา ลงพื้นที่มอบเสื้อกันหนาวให้คนไร้บ้านในกทม. หลังอุณหภูมิลดลง”
“เด็ก 10 ขวบเร่ร่อนคนเดียวนาน 2 ปี กลายเป็นไวรัล ชาวเน็ตแห่ช่วยเหลือ”พาดหัวข่าวคนไร้บ้านในบทบาท ‘วัตถุแห่งความเมตตา’ มักมาพร้อมคำขยายความอย่าง ‘สุดเวทนา’ หรือ ‘แห่ช่วยเหลือ’ และเนื้อหาข่าวมักเน้นไปที่ความมีน้ำใจและความเอื้อเฟื้อของ ‘ผู้ให้’ มากกว่าเบื้องหลังและที่มาของ ‘ผู้รับ’ การนำเสนอข่าวในลักษณะนี้มีแนวโน้มทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในระยะสั้นแต่หล่อเลี้ยงความเข้าใจผิดในระยะยาว เพราะเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชมจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นสาเหตุของการไร้บ้าน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต ความรุนแรงในครอบครัว จะเห็นได้จากความคิดเห็นจากโลกออนไลน์ เช่น
“คนไทยไม่ทำงานเป็นคนไร้บ้านรอข้าวกล่อง”
“ไม่สงสารค่ะ คนพวกนี้คือไม่อยากทำงาน”
“ในเมืองเพียบ ขอข้าววัดกินดีกว่าคนทั่วไปส่วนเงินขอทานได้กินเหล้าแล้วก็ นอนเมาวนๆ แถวนั้น”
คอมเมนต์เชิงลบที่เราเห็นในโซเชียล มักสะท้อนว่าหลายคนยังมองคนไร้บ้านแบบเหมารวม ว่าเป็นพวกที่เลือกที่จะอยู่นอกระบบสังคม สอดคล้องกับข้อมูลจากงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE ที่พบว่า คนส่วนใหญ่มองว่าการเป็นคนไร้บ้านน่าจะเกิดจากความเต็มใจของบุคคลนั้นที่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้
ถ้าเราสำรวจจากงานวิจัยหลายชิ้นที่เกี่ยวกับคนไร้บ้าน จะพบว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่เปลี่ยนให้คนๆ หนึ่งที่มีบ้านกลายมาไร้บ้านได้ คือ ‘ความเสียเปรียบทางสังคม’
งานวิจัย Are the homeless mentally ill? (คนไร้บ้านมีโรคทางจิตเวชหรือไม่) โดยจอห์นสัน (Johnson) และเชมเบอร์ลิน (Chamberlain) เมื่อปี 2016 อธิบายถึง ‘ความเสียเปรียบทางสังคม’ ทำให้คนกลายเป็นคนไร้บ้านได้ เช่น มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่ได้รับการศึกษาที่เพียงพอ หรือถูกจัดหมวดให้เป็นคนชายขอบ ถ้ามีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งที่กล่าวไปข้างต้นก็สามารถเสี่ยงเป็นคนไร้บ้านได้
ยิ่งไปกว่านั้น การ ‘สูญเสียคนสำคัญในชีวิต’ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้คนกลายเป็นคนไร้บ้านได้ งานสำรวจเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชของคนไร้บ้านในกรุงเทพมหานคร โดย แพทย์หญิงทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล เมื่อปี 2559 ยกตัวอย่างข้อมูลจากผลสำรวจคนไร้บ้านในกรุงมาดริด ประเทศสเปน พบว่าการสูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิต เช่น พ่อแม่ คู่รัก ลูก หรือเพื่อน เกิดขึ้นกับคนไร้บ้านมากถึงร้อยละ 62 อีกทั้งร้อยละ 54 ของกลุ่มคนไร้บ้านนี้เคยเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงที่ส่งผลต่อชีวิต เช่น เกิดโรคร้ายแรง หรือถูกทำร้าย การขาดที่พึ่งและขาดการสนับสนุนจากคนรอบตัว ส่งผลให้เกิดภาวะเครียดที่ทำให้กลายเป็นเหตุผลของการเป็นคนไร้บ้าน
ปัจจัยเดียวกันนี้ก็ส่งผลต่อการเป็นคนไร้บ้านที่ไทยเช่นกัน ข้อมูลจากงานวิจัย “คน (ทําไม) ไร้บ้าน: รายงานสถานการณ์ความไม่เป็นธรรม โดย อนรรฆ พิทักษ์ธานิน และขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย” ชี้ว่า กลุ่มคนไร้บ้านที่สูญเสียคนสำคัญในชีวิต โดยเฉพาะคนที่เป็นกำลังสำคัญของครอบครัว ถือเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดและส่งผลต่อการตัดสินใจเป็นคนไร้บ้านทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับมุมมองคนทั่วไปที่มีต่อคนไร้บ้านที่มองพวกเขาว่าเกียจคร้านและขาดศักยภาพในการจัดการดูแลชีวิตของตนเอง จึงไม่ควรช่วยเหลือเพราะเป็นปัญหาส่วนบุคคลที่คนไร้บ้านจะต้องจัดการด้วยตนเอง และเมื่อผู้ชมรับชมและเห็นข่าวนำเสนอคนไร้บ้านแค่ในบทบาท ‘ผู้รับความเมตตา’ อยู่เสมอจากสื่อออนไลน์ ก็ยิ่งตอกย้ำให้จำว่าเพราะเขาทำตัวอย่างนี้จึงได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ เป็นตอนจบแบบเบ็ดเสร็จที่ขาดการเชื่อมโยงโครงสร้างและสาเหตุแท้จริง

ภาพจำของคนไร้บ้านในบทบาท ‘ภัยสังคม’ (Stereotype)
ในสื่อออนไลน์ ประเภทข่าวคนไร้บ้านที่เจอบ่อยที่สุดคือข่าวแนวอาชญากรรม คิดเป็นเกือบ 60% ของสื่อออนไลน์ทั้งหมด เนื้อหาสื่อแบบนี้มักทำให้คนดูรู้สึกกลัวแบบไม่รู้ตัว พอเห็นบ่อยๆ ผู้ชมก็เริ่มจำภาพคนไร้บ้านว่าเป็น ‘ภัย’ มากกว่าสมาชิกในสังคม ชุมชน จากความรู้สึกสงสารก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวง จากความพยายามจะเข้าใจก็เปลี่ยนเป็นการตัดสิน
“เด็กผวา! คนเร่ร่อนทำร้าย-ทุบตีนักเรียนโรงเรียนดังย่านราชดำเนิน วอนเจ้าหน้าที่ดูแลด่วน”
“สาวๆ ผวา ชายเร่ร่อนนอนช่วยตัวเองข้างถนน”
“ไม่กลัวบาป! คนจรจัดย่องขโมยองค์พระภูมิเจ้าที่ ในศาลหลักเมืองขอนแก่น”
การรายงานข่าวที่ใช้คำชี้นำทางอารมณ์ จากตัวอย่างมักจะกระตุ้นผู้ชมว่า “ควรรู้สึกอย่างไร” ต่อคนไร้บ้านโดยทันที คำว่า ‘ผวา’ สื่อถึงความกลัว ความไม่ปลอดภัย และความตื่นตระหนก เป็นของ ‘ผู้ถูกคุกคาม’ ซึ่งในที่นี้คือเด็กหรือนักเรียน บุคคลทั่วไปในชุมชน รวมทั้งผู้ชม ในขณะที่ ‘ผู้คุกคาม’ ถูกระบุชัดเจนว่าเป็น ‘คนเร่ร่อน’ หรือ ‘ชายไร้บ้าน’ ทำให้กลายเป็นภาพจำว่า คนไร้บ้านคือ ตัวอันตรายของสังคม การชี้นำอารมณ์ผ่านภาษาประเภทนี้มีพลังในการสร้างภาพจำในระยะยาว ผู้ชมจะเริ่มมองคนไร้บ้านผ่านความหวาดระแวง และแยกพวกเขาออกจาก ‘คนในสังคม’ และนำไปสู่การเกิดอคติ ในพื้นที่แสดงความเห็นก็พบเห็นการแสดงอคติเหล่านี้อย่างชัดเจน เช่น
“ไม่ควรใช้คำว่าจัดระเบียบนะคะ ควรใช้คำว่ากำจัด หรือขจัดออกไป ถนนเส้นนี้นักท่องเที่ยวเยอะ จัดระเบียบคือ นั่งเป็นแถวงี้หรอ”
“ส่วนคนที่สงสัยว่า ทำไมรัฐ ไม่ช่วยเหลือคนเร่ร่อน เดี๋ยวนี้เห็นข่าวหลายๆ เคส ที่คนเร่ร่อน ล่อลวงเด็กไปและคนพวกนี้จะก่อเหตุเรื่อยๆ”
“เลวมาก จับแล้วปล่อยเดี๋ยวก่อเหตุอีก แบบนี้ต้องจับขังคุกลืมเลยครับ มีข้าวที่พักฟรี”
ความคิดเห็น เช่น ‘ขจัดออกไป’ ‘ขังลืม’ จึงไม่ใช่เพียงการระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียวแต่สะท้อนอคติของคนในสังคมที่มีต่อคนไร้บ้านว่าเป็นตัวแทนของความอันตราย นอกโลกออนไลน์ก็พบว่าคนทั่วไปก็มีมุมมองว่าคนไร้บ้านในฐานะภัยจากความคาดเดาไม่ได้ จากผลการวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE พบว่า คนทั่วไปมองว่าคนไร้บ้านเป็นคนที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้และมีโอกาสสร้างปัญหาให้กับผู้คนที่ผ่านไปมาได้ง่าย แม้จะมีความเห็นใจและอยากช่วยเหลือคนไร้บ้าน แต่ก็ยังคงไม่ไว้วางใจทำให้ต้องเว้นระยะห่างหรือปิดโอกาสไม่ให้คนไร้บ้านเข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่ชุมชน

นักแสดงที่ไม่เคยได้เลือกบทบาท
คนไร้บ้านปรากฏตัวในข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยได้เป็นตัวเอกในเรื่องของตัวเอง บทที่พวกเขาได้รับมักมีเพียงสองทางเลือกหากไม่เป็น “ผู้โชคร้ายที่รอรับความช่วยเหลือ” ก็ต้องเป็น “ผู้ร้ายที่ต้องโดนกำจัดออกไปจากสังคม” เมื่อการสวมบทบาทเดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยที่คนดูไม่เคยได้รู้เลยว่า คนๆ นั้นมีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอคติที่ฝังรากลึกโดยไม่รู้ตัว อคติที่ทำให้เรามองคนไร้บ้านเพียงแวบเดียวและตัดสินในเสี้ยววินาที
ยกตัวอย่างเช่น ที่มาที่ไปของคนไร้บ้านที่คนมักไม่ค่อยสนใจในประเด็นนี้ และตีโพยตีพายไปว่าการเป็นคนไร้บ้านนั้นมาจาก ‘ความขี้เกียจ’ หรือเป็นตัวปัญหาของสังคมจึงโดนขับไล่ออกมา แท้จริงแล้วยังมีเบื้องหลังและสาเหตุต่างๆ ที่มากกว่านั้น
จากผลการสำรวจข้อมูลคนไร้บ้านเชิงลึกเมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นความร่วมมือของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิอิสรชน และเครือข่ายคนไร้บ้านทั่วประเทศ พบว่า เหตุผลอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนไร้บ้าน ได้แก่ การตกงาน ไม่มีงานทำ ซึ่งคิดเป็น 20.89% ของคนไร้บ้านที่พบทั้งหมด รองลงมาคือการมีปัญหากับครอบครัว 19.53% (สามารถดูรายละเอียดอื่นๆ ของผลสำรวจได้ที่นี่ https://lookerstudio.google.com/reporting/f18b4c5e-8348-48d2-8d4c-67e631fcacb8/page/5xl2D)
ในโลกของข่าวสารที่ไหลเร็วและพาดหัวต้องสะดุดตา เราอาจลืมตั้งคำถามว่า สิ่งที่เรารู้นั้นจริงแค่ไหนและพอหรือไม่ต่อการเข้าใจชีวิตของใครบางคนอย่างแท้จริง อะไรคือบทบาทในสังคมที่เขาอยากทำ อยากเป็น และเราทำความเข้าใจพวกเขาด้วยมุมมองแบบใด การเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ในการทำความเข้าใจจึงเป็นมากกว่าการมองเห็นแต่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกับทุกคนในสังคม
ที่มา
- งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนัก รู้ของสังคม
- Johnson, G. & Chamberlain, C. (2016). Are the homeless mentally ill?:: : ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล. (2559). การสํารวจความชุกโรคทางจิตเวชของกลุ่มประชากรคนไร้บ้านในเขต กรุงเทพมหานคร
- อนรรฆ พิทักษ์ธานิน และขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย. (2560). คนทําไมไร้บ้าน : รายงานสถานการณ์ความ ไม่เป็นธรรม
