ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของมณฑลลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ผู้สมัครต่างเสนอนโยบายเพิ่มสถานที่พักพิงกับคนไร้บ้านเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี การเสนอนโยบายดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของคนไร้บ้านอย่างแท้จริง เนื่องจากสถานที่พักพิงที่ผู้สมัครหาเสียงนั้นเป็นสถานที่พักพิงแบบรวมกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนไร้บ้านปรารถนาจะเข้าไปอยู่อาศัย
จากผลสำรวจขององค์กรวิจัยเพื่อนโยบายสาธารณะ RAND Corporation พบว่า แม้ว่าคนไร้บ้านเกือบ 90% มีความสนใจที่จะเข้าพักอาศัยในบ้านพักพิง แต่การตอบรับเข้าบ้านพักพิงนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของสถานพักพิงเป็นหลัก โดยคนไร้บ้านน้อยกว่า 1 ส่วน 3 มองว่าบ้านพักพิงแบบกลุ่มเป็นตัวเลือกที่ “รับได้”เนื่องจากคนไร้บ้านเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ และโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด การให้คนไร้บ้านมีห้องส่วนตัวของตนเองจึงยิ่งสำคัญและตอบโจทย์มากกว่า
นอกจากนี้ จากการสำรวจถึงรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ต้องการพบว่า คนไร้บ้านประมาณ 80% เลือกสถานที่พักพิงแบบห้องส่วนตัวในสถานที่พักพิงหรือโรงแรมที่สามารถอาศัยในระยะยาวได้ ประมาณ 60% เลือกสถานที่พักพิงแบบชั่วคราวสำหรับระยะเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ประมาณ 50% เลือกสถานที่พักพิงแบบรวมกลุ่ม และมีเพียง 30% เท่านั้นที่เลือกอาศัยในศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด