ลอสแอนเจลิสหรือที่รู้จักในชื่อ LA เมืองใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังประสบปัญหาจำนวนประชากรคนไร้บ้านเพิ่มขึ้น 16 % จากปีที่ผ่านมา รายงานของทางการแคลิฟอร์เนีย ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมาระบุว่า ปัจจุบันมีคนไร้บ้านมากกว่า 36,000 คนในลอสแอนเจลิสและเกือบ 59,000 คน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญานเตือนให้เห็นสถานการ์ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ที่รุนแรงและวิกฤติเรื่องที่อยู่อาศัย ที่เกิดขึ้นทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย
สำหรับการสำรวจคนไร้บ้านดำเนินการโดยอาสาสมัครหลายพันคน ในเดือนมกราคมของทุกปี ใช้วิธีการประมาณการจากจำนวนผู้อาศัยบนถนน เต็นท์ ในรถและศูนย์พักพิง รายงานดังกล่าวยังระบุว่า
- คนไร้บ้าน มากกว่า 44,000 คน (75%) ไม่ได้อาศัยในศูนย์พักพิง โดยมากกว่า 16,000 คน อาศัยในรถยนต์และมากกว่า 11,000 อาศัยในเต็นท์และอยู่ในที่พักชั่วคราว
- ตัวเลขครอบครัวไร้บ้านเพิ่มสูงขึ้น 8% เป็น 8,800 ครอบครัว โดยมีมากกว่า 1,600 ครอบครัว ที่ไม่ได้อาศัยในศูนย์พักพิง
- จำนวนคนไร้บ้านที่เป็นวัยรุ่นเพิ่มขึ้น 24% เป็นตัวเลขเกือบ 4,000 คน และมากกว่าครึ่งไม่ได้อาศัยในศูนย์พักพิง
- มากกว่าครึ่งของประชากรคนไร้บ้านผู้ใหญ่ที่ไม่ได้อาศัยในศูนย์พักพิง เป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่
นอกจากนี้ในรายงานยังระบุว่า 53% เป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่ที่สูญเสียที่พักในปี 2018 เนื่องจากประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และพบอีกว่าชาวอเมริกันผิวดำเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการถูกทอดทิ้งจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุด
รายงานดังกล่าวถูกนำเสนอภายหลังจากที่ Wall Street Journal รายงานว่า นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้สร้างรายได้จากการสร้างคฤหาสน์หรูหราในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีส่วนทำให้ราคาที่อยู่อาศัยและค่าเช่าพุ่งสูง หน่วยงานบริการคนไร้บ้านของลอสแอนเจลิสตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตเนื่องจากราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัยที่สูงเกินไปและค่าแรงที่ไม่ได้ถูกปรับขึ้น หากใครต้องการซื้ออพาร์ทเม้นแบบหนึ่งห้องนอน จะต้องทำงาน 79 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อที่จะมีรายได้ขั้นต่ำเพียงพอสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยดังกล่าว
Eric Garcetti นายกเทศมนตรีเมืองลอสแอนเจลิสกล่าวว่า สถานการณ์เหล่านี้ย้ำเตือนให้เห็นถึงภาวะวิกฤตเรื่องที่อยู่อาศัย นโยบายการสนับสนุนที่อยู่อาศัยราคาถูก รวมทั้งปัญหาทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการรักษา ทั้งนี้ทางการก็ยืนยันว่ามีการทุ่มงบประมาณสำหรับหารแก้ไขปัญหา ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต
ที่มา : www.theguardian.com