“คนจรจัด-คนเร่ร่อน-คนไร้บ้าน” สำรวจคำเรียกคนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ ชื่อเรียกหลากหลายสะท้อนความเข้าใจหรืออคติ

 “งามหน้า! นักท่องเที่ยวโวยปล่อยมาเฟียคนจรจัด รีดไถเงินค่าจอดรถหน้าวัดดังกลางกรุงฯ”

“ลุยตรวจสอบคนเร่ร่อนรวมตัวนับ 10 สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน”

“ชีวิตที่ถูกบังคับให้เลือกในวันที่ไร้ทางเลือก : เข้าใจ ‘คนไร้บ้าน’ ใน EEC กับมุมที่เราอาจมองข้าม”

ลองนึกภาพเวลาเราไถมือถืออ่านข่าวหรือโพสต์ในโซเชียล พอเห็นคำว่า ‘คนจรจัด’ หรือ ‘คนเร่ร่อน’ เรารู้สึกยังไง? เคยไหมที่ความหมายของคำเหล่านี้มันพาเราคิดต่อแบบอัตโนมัติว่า พวกเขาน่ากลัว สกปรก หรือน่ารำคาญ แค่คำไม่กี่คำในข่าวหรือในโพสต์ที่เราเห็นแวบๆ บนหน้าจอ มันกลายเป็นภาพจำที่ทำให้คนไร้บ้านหลายคนถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคมไปได้อย่างไร

ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของอคติในใจเรา ซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพเหมารวมต่อกลุ่มคนต่าง ๆ งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 9

งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE อธิบายไว้ว่า ภาพเหมารวมเกิดจากความเชื่อที่มองว่าประชากรกลุ่มหนึ่ง สมาชิกทั้งหมดหรือส่วนใหญ่มีคุณลักษณะเฉพาะแบบหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลบางส่วนหรือข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แม้ภาพเหมารวมจะเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่สะท้อนความซับซ้อนของคนกลุ่มต่างๆ แต่หลายครั้งที่ความเชื่อนั้นกลับถูกสร้างและส่งต่อ จนกลายเป็นมาตรฐานในการตัดสินคน 

หนึ่งในรูปแบบการส่งต่อที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้คนคือ สื่อ ไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ รายการโทรทัศน์ หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดีย สื่อจำนวนไม่น้อยมักเลือกใช้คำและภาพบางอย่างซ้ำๆ เพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง ทำให้ผู้ชมเกิดความเชื่อและรับรู้แบบเหมารวม

ผลการวิจัยยังพบว่า การแสดงทัศนคติของผู้คนบนโลกออนไลน์ต่อคนไร้บ้าน มีข้อความในเชิงลบมากกว่าเชิงบวกถึง 10 เท่า และยังสะท้อนอคติที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องรูปลักษณ์ พฤติกรรม สุขภาพ การใช้พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงการทำงานและการเข้าสังคม

บทความนี้จะชวนมาทบทวนชื่อเรียกทั้งสามของคนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ เพราะชื่อเรียกเปรียบเสมือนประตูบานแรกที่จะเปิด-ปิด ให้-ไม่ให้ คนไร้บ้านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดียวกัน และอยากชวนพวกเราสำรวจตัวเองว่าเมื่อเห็นคำเรียกเหล่านั้น เรากำลังมองเห็นคนไร้บ้านเป็นอย่างไรอย่างตรงไปตรงมา 


‘คนจรจัด’ ชื่อเรียกชี้นำความกลัว
จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับมุมมองต่อคนไร้บ้านในงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE พบว่า คนส่วนใหญ่มองว่าคนไร้บ้านเป็นคนที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ เป็นภาระสังคม และมีโอกาสสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่ได้ง่าย สอดคล้องกับรายงานภูมิทัศน์สื่อออนไลน์ประเด็นคนไร้บ้านก็พบว่าในสื่อออนไลน์ที่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคนไร้บ้าน ถึงจะมีการใช้คำว่า ‘คนจรจัด’ เป็นคำเรียกประมาณ 4% เท่านั้น แต่ทุกครั้งที่คำนี้โผล่ขึ้นมา มักจะปรากฏอยู่ในข่าวอาชญากรรมของคนไร้บ้าน ตัวอย่างพาดหัวข่าวที่เราอาจจะคุ้นตา เช่น 

“รองนายกฯ ขอนแก่นตรวจเหตุพระภูมิเจ้าที่หาย คาดฝีมือสายมู-คนจรจัด”

“นักท่องเที่ยวโวย! มาเฟียคนจรรีดไถเงินค่าจอดรถ บริเวณรอบวัดดังกลางกรุงฯ”

“อำมหิต หญิงผู้ดีถูกคนจรจัด ข่มขืนซ้ำๆ จนตาย รอดโทษประหาร”

แม้คำว่า ‘คนจรจัด’ จะถูกใช้ในสื่อน้อยกว่าคำเรียกอื่น แต่เมื่อถูกจับคู่กับเนื้อหาข่าวที่มีอาชญากรรมรุนแรงและน่ากลัวก็ทำให้ผู้ชมค่อย ๆ สร้างภาพจำของคนไร้บ้านในฐานะผู้ก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในชุมชนหรือสังคมโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญ แม้จะมีการรายงานข่าวไม่บ่อยแต่ข่าวลักษณะนี้ก็มักจะได้รับความสนใจจากผู้ชม หรือพูดอีกอย่างคือเห็นน้อยแต่เห็นชัดนั่นเอง 

เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็หลงลืมไปแล้วว่าอคติที่เกิดขึ้นในใจเรามีที่มาจากไหน แต่เมื่อเห็นคำว่าคนจรจัด ภาพในหัวของเราก็ปรากฏชัดเจนเป็นภาพคนเนื้อตัวมอมแมม ท่าทางไม่น่าไว้วางใจ และเราก็พร้อมที่จะตัดสินพวกเขาด้วยภาพจำในหัวโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้าไปอ่านเนื้อหาข่าว และเมื่อพบเจอคนไร้บ้านในบริบทข่าวอื่นๆ ก็ยากที่จะเปิดใจฟังเรื่องราวที่มาที่ไปของชีวิตที่ต้องมาจบลงที่ข้างถนนหรือบางครั้งเผลอเหมารวมพวกเขาว่าคนไร้บ้านเป็นอาชญากรข้างถนนทุกคน


‘คนเร่ร่อน’ ชื่อนี้แค่ได้ยินก็รำคาญใจ

ประเด็นสำคัญจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง ในงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE คือความรู้สึกที่พวกเขามีต่อคนไร้บ้าน ผลวิจัยพบว่าเกินครึ่งของกลุ่มตัวอย่างไม่สบายใจหากมีคนไร้บ้านมาอาศัยอยู่ในละแวกบ้าน และเกิดความรู้สึกกลัวเมื่อพบเห็นคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ ร้านอาหาร สอดคล้องกับผลการสำรวจรายงานข่าวออนไลน์พบว่าสื่อใช้คำว่า ‘คนเร่ร่อน’ มากถึง 53.51% ในการนำเสนอข่าว อีกนัยเท่ากับเน้นย้ำว่าพวกเขาเป็น “ต้นเหตุของความเดือดร้อนและความรำคาญในชุมชน” เช่น

“เด็กผวา! คนเร่ร่อนทำร้าย-ทุบตีนักเรียนโรงเรียนดังย่านราชดำเนิน วอนเจ้าหน้าที่ดูแลด่วน”
“สืบนครบาล ร่วม สน.บางรัก จับกุม ‘ฟิว ใจบาป’ชายเร่ร่อน ตระเวนงัดตู้บริจาควัด”
“ที่อันตรายที่สุดคือที่ปลอดภัยที่สุด! หญิงเร่ร่อนนั่งดูดยาบ้าริมหาดพัทยา กลางวงนักท่องเที่ยวอาบแดด”

จากตัวอย่างพาดหัวข่าว คำว่า ‘คนเร่ร่อน’ ในข่าวเหล่านี้ไม่ได้เพียงระบุสถานะว่าพวกเขาเป็นคนไร้บ้าน แต่เมื่อจับคู่นำเสนอกับพฤติกรรมสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชุมชน และเติมถ้อยคำชี้นำอารมณ์เช่น ผวา สุดระทึก คำเรียกเหล่านี้ก็ทำหน้าที่เป็นคำตีตราทางสังคมที่สะท้อนภาพจำของคนไร้บ้านว่า พวกเขาเหล่านี้ล้มเหลวในการใช้ชีวิต จนต้องออกมา ‘เร่ร่อน’ และคนเร่ร่อนเหล่านี้มาพร้อมกับพฤติกรรมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ สร้างความวุ่นวาย เป็นภาระของคนในชุมชน และเป็นภัยคุกคามในพื้นที่สาธารณะ

แต่ในความเป็นจริง คนไร้บ้านหลายคนไม่ใช่คนเร่ร่อน หลายคนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หนึ่งในนั้นคือ ‘ปราง’ อารีภรณ์ คะยัด คนไร้บ้านที่พักอาศัยในบ้านโฮมแสนสุข ศูนย์พักพิงของคนไร้บ้านในจังหวัดขอนแก่น 

ปรางเป็นคนไร้บ้านตั้งแต่ช่วงโควิด ตกงาน ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน พ่อแม่เสีย เป็นลูกคนเดียว ญาติที่มีก็ฐานะลำบากพอกัน และตอนนั้นอายุ 50 เศษแล้ว ที่ต้องเปลี่ยนที่นอนมาอยู่ข้างถนน 

อย่างนี้เรียกว่าเร่ร่อนได้ไหม? 

“รู้สึกกลัวและกังวล เพราะเราไม่เคยนอนในพื้นที่สาธารณะ นอนไม่หลับหรอก ยกเว้นว่าเราเหนื่อย เราล้า มันก็จะหลับวูบไปประมาณสักครึ่งชั่วโมง-ชั่วโมงหนึ่ง เราก็จะตื่นอยู่เรื่อย เพราะความระแวง รถวิ่งผ่านอะไรวิ่งผ่าน” 

ปรางตัดสินใจกลับภูมิลำเนาที่หนองคายเพราะบัตรประชาชนอยู่ที่นั่น และไปอยู่ที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง – บ้านโฮมแสนสุข จ.ขอนแก่น 

“ตอนนั้น ก็ยังหางานไม่ได้ เพราะอายุเยอะแล้ว ผู้จัดการบ้านโฮมแสนสุขเลยชวนให้เป็นอาสาสมัคร ทำให้ไม่ต้องไปนอนข้างถนน” ปรางเล่าเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 

แต่ถึงอย่างนั้น วันนี้ปรางก็ยังเรียกว่าตัวเองเป็นคนไร้บ้านอยู่ ถึงแม้ตัวเองจะมีงานทำ มีที่นอน และมีรายได้

“เพราะเรายังเป็นคนไร้บ้านอยู่ เรายังไม่มีกำลังที่จะไปเช่าบ้านอยู่แบบจริงจัง เราจะหลุดอยู่ตลอด” 

กรณีปราง อาจไม่เข้าข่ายว่าเป็นคนเร่ร่อน แต่น้อยมากที่สื่อจะนำเสนอหรือไปพูดคุยกับคนไร้บ้านและ ‘ถอดเสียง’ พวกเขาออกมา 

สิ่งที่เรายังเห็นในทุกวันนี้ก็คือ พาดหัวข่าวที่มีคำว่าคนเร่ร่อน ย้ำซ้ำไปมา สร้างความกลัว ก่อความกังวลใจแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม 

‘คนไร้บ้าน’ ชื่อสะท้อนที่มาและเปิดโอกาสให้เจ้าของชื่อเติมความหมายเอง

คำว่า ‘คนไร้บ้าน’ ปรากฏอยู่ในการรายงานข่าวมากเป็นอันดับ 2 รองจากคนเร่ร่อน ด้วยตัวเลข 42.54 % ปรากฏมากในข่าวของหน่วยงานรัฐหรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานแก้ไขปัญหาสังคมในประเด็นคนไร้บ้านที่พยายามจะชี้ให้เห็นว่าความไร้บ้านไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นผลจากโครงสร้างทางสังคมที่กีดกันคนบางกลุ่มออกจากความมั่นคงพื้นฐานในการมีบ้านอยู่ การใช้คำเรียกนี้จึงมักในปรากฏในข่าวที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิต การต่อสู้ดิ้นรน และการฟื้นฟูชีวิตของคนไร้บ้าน เช่น

“ชีวิตที่ถูกบังคับให้เลือกในวันที่ไร้ทางเลือก : เข้าใจ ‘คนไร้บ้าน’ ใน EEC กับมุมที่เราอาจมองข้าม”
“สวยใส ไร้สมอง! ชาวเน็ตวิจารณ์เดือด “อินฟลูฯ” สาวทำคอนเทนต์ ‘นอนยั่วลุงไร้บ้าน’”

“Jack Veal เจ้าของบท Kid Loki กลายเป็นคนไร้บ้านเพราะถูกครอบครัวใช้ความรุนแรง-ปัญหาสุขภาพจิต”

ในข่าวประเภทนี้ คำว่า ‘คนไร้บ้าน’ ไม่ได้บอกว่าพวกเขาคือปัญหา แต่บอกว่า “เขามีปัญหาอะไร” 

ในการรายงานข่าวหลายครั้ง ‘คนไร้บ้าน’ ใช้เป็นคำเรียกที่เปิดพื้นที่ให้เจ้าของชื่อมีตัวตน มีเรื่องเล่า และมีศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์ หากสังคมเปิดพื้นที่ให้มีการนำเสนอข่าวคนไร้บ้านในฐานะผู้ต่อสู้กับปัญหาชีวิตแต่ยังไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตและมีศักยภาพที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง ความเข้าใจและภาพจำที่สะท้อนความเป็นจริงของคนไร้บ้านก็จะเพิ่มมากขึ้น 

งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE กล่าวถึงความสำคัญของการลดอคติต่อคนไร้บ้านในระดับการดำเนินงานด้านนโยบายไว้ว่า การแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านควรมาจากฐานคิดที่มองคนไร้บ้านเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ และ สามารถส่งเสริมให้ใช้ศักยภาพเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่มากกว่าการวางนโยบายด้วยความกลัวหรือความรังเกียจ หรือการมองคนไร้บ้านเป็นเพียงภาระที่ต้องถูกจัดการหรือจัดระเบียบ

ชื่อเรียกหลากหลายเป็นสะพานความเข้าใจหรือกำแพงอคติ

ชื่อที่เราใช้เรียกผู้อื่นสามารถสะท้อนทัศนคติและกรอบความคิดของสังคมต่อคนกลุ่มนั้นๆ ยกตัวอย่างกรณีข่าวอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้านในโลกออนไลน์ หลายความคิดเห็นบนโลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่น

 “คนแบบนี้เอาไปทำปุ๋ยเถอะครับ ภัยสังคม”
“ประเทศไทยควรมีกลุ่มศาลเตี้ยสำหรับจัดการพวกมัน”
“คนก็เป็นหมาบ้า จับไปฉีดยาเลย”
“บางคนก็สกปรกทั้งกายทั้งใจ”

ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อชื่อเรียกถูกจับคู่กับข่าวในเชิงลบซ้ำ ๆ ก็ยิ่งตอกย้ำภาพจำว่า ‘คนไร้บ้าน’ คือภัยต่อสังคม มากกว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการความเข้าใจและการช่วยเหลือ ข้อมูลจากการสำรวจ Social Listening ช่วง 14 ก.พ. – 14 พ.ค. 2566 ในงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity, Empaty) ก็ยืนยันทิศทางทัศนคติของผู้คนบนโลกออนไลน์อย่างชัดเจน โดยพบว่าเนื้อหาบนโลกออนไลน์ที่เกี่ยวกับคนไร้บ้าน มีข้อความในเชิงลบมากกว่าเชิงบวกถึง 10 เท่า และยังสะท้อนอคติที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องรูปลักษณ์ พฤติกรรม สุขภาพ การใช้พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงการทำงานและการเข้าสังคม

ชื่อเรียกที่เราเลือกใช้กับคนไร้บ้านจึงเป็นได้ทั้ง ‘สะพานความเข้าใจ’ และ ‘กำแพงอคติ’ คำเรียกที่สะท้อนปัญหาชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญอย่างคำว่า ‘คนไร้บ้าน’ ช่วยให้เราเดินข้ามฝั่งสะพานไปเห็นความจริง เข้าใจปัญหาและความท้าทายในชีวิตของพวกเขา แต่ในทางตรงกันข้าม ชื่อเรียกที่เต็มไปด้วยอคติและถูกจับคู่กับข่าวอาชญากรรม เช่น ‘คนจรจัด’ หรือ ‘คนเร่ร่อน’ กลับกลายเป็นกำแพงที่ปิดกั้นความเข้าใจ สร้างอคติขึ้นในใจและนำไปสู่การตัดสินอย่างผิวเผิน 

การใช้ชื่อเรียกอย่างระมัดระวังจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการมองเห็นคนไร้บ้านในฐานะมนุษย์คนหนึ่งและมองปัญหาการไร้บ้านอย่างชัดเจนและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างเข้าใจ เพราะการช่วยให้คนไร้บ้านมีบ้านอีกครั้ง คือการสร้างชุมชนที่แข็งแรง ปลอดภัย และมีที่ยืนให้กับทุกคน รวมถึงตัวเราเอง ในวันที่อาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนมีบ้านอย่างเรากลายเป็นคนไร้บ้าน ได้กลับมามีชีวิตและโอกาสใหม่อีกครั้ง

เหมือนอย่างที่ ‘ปราง’ ผู้สูงวัยไร้บ้าน ที่ไม่อยากตอบคำถามว่าทำไมถึงไร้บ้านอีกต่อไป 

“เพราะเขาตอบไม่ได้หรอกว่าทำไม แค่อยากให้คนในสังคมเห็นคนไร้บ้านเป็นคนคนหนึ่ง เหมือนคนที่เราไปเจอ เป็นแม่ค้า เป็นอะไร เพราะเวลาเจอวิกฤติ ใครๆ ก็เป็นคนไร้บ้านได้” 

……………………………………..

ดาวน์โหลดรายงานสำรวจภูมิทัศน์คนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ได้ที่นี่:


ที่มา : รายการวิทยุนับเราด้วยคน ep .89 “สูงวัยไร้บ้าน…อยู่อย่างไร” 

: งานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม