อคติคนไร้บ้านจากการสำรวจ
เราเกลียดคนที่ไม่รู้จักได้ด้วยเหรอ? ถอดตัวเลขจากรายงานสำรวจภูมิทัศน์คนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ ทำไมอคติต่อคนไร้บ้านพุ่งสูงเกิน 50%
เราเกลียดคนที่ไม่รู้จักได้ด้วยเหรอ? ถอดตัวเลขจากรายงานสำรวจภูมิทัศน์คนไร้บ้านในสื่อออนไลน์ ทำไมอคติต่อคนไร้บ้านพุ่งสูงเกิน 50%
ไม่ “ผู้โชคร้ายที่รอรับความช่วยเหลือ” ก็ “ผู้ร้ายที่ต้องโดนกำจัดออกไป”
เมื่อคนไร้บ้าน ไร้เสียง ไร้ตัวตน ล่องหนในเรื่องราวของตัวเอง
“เราคิดว่าทุกคนควรมีสิทธิ์มีเสียงในการพูด ไม่ใช่แค่มาแสดงตามบทที่คนอื่นเขียนให้”
ถ้าในสื่อกระแสหลักคนไร้บ้านกลายเป็นผู้ร้าย หรือตัวปัญหาของสังคม และมักจะถูกมองข้ามเสียงของพวกเขาจริงๆ แต่สำหรับละครเวทีในงาน Voice of the voiceless ครั้งที่ 3 ภายในห้อง ‘พื้นที่ปลอดภัย เชื่อมโยงเครือข่าย สร้างโอกาส สู่ จุดเปลี่ยนเพื่อสุขภาวะ “คนไร้บ้าน”บนศักดิ์ศรีและความเท่าเทียม’ ที่จัดโดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา คนไร้บ้านและอดีตคนไร้บ้านที่ขึ้นแสดงบนเวทีได้แสดงเจตจำนงถึงความต้องการของคนไร้บ้านที่มาจากความต้องการของพวกเขาจริงๆ ที่หวังว่าการส่งสารครั้งนี้จะถึงทุกคนโดยแท้จริง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาคนไร้บ้านในประเทศสหรัฐอเมริกามีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางสูง เช่น เยาวชนและกลุ่มความหลากหลายทางเพศโดยจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าบุคคลกลุ่มนี้เผชิญกับความเสี่ยงที่จะไร้บ้านมากกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป เนื่องจากการถูกกีดกันจากครอบครัว การเลือกปฏิบัติจากสังคม และการเข้าถึงบริการที่ไม่ตอบสนองต่อเพศสภาพของพวกเขา
“พัทยาเป็นที่ที่อิสระ เป็นที่ที่ทำให้ทุกคนได้เป็นตัวเอง รู้แบบนี้เราก็เลยสะบัดบ็อบจากบ้านมาอยู่ที่นี่เลย”
จากสมุทรปราการสู่พัทยา ‘บุ้ง-ดำรัส ขุระสะ’ แกนนำอาสาสมัครดูแลสนับสนุนส่งต่อผู้รับบริการจากหน่วยงาน HON ที่อดีตเคยเป็นคนไร้บ้าน บุ้งเล่าว่ามาพัทยาครั้งแรกในวัย 12 ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่ามาเสี่ยงดวงเอามาเริ่มต้นใหม่ที่นี่ เพราะรู้มาว่าที่พัทยามีงานให้ทำเยอะ มีอิสระ ที่สำคัญพัทยาเป็นมิตรกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศอีกด้วย ในเมื่อมีที่อื่นเป็นมิตรกว่าที่บ้าน เธอจึงยอมมาตายเอาดาบหน้าที่นี่
ลองนึกภาพเวลาเราไถมือถืออ่านข่าวหรือโพสต์ในโซเชียล พอเห็นคำว่า ‘คนจรจัด’ หรือ ‘คนเร่ร่อน’ เรารู้สึกยังไง? เคยไหมที่ความหมายของคำเหล่านี้มันพาเราคิดต่อแบบอัตโนมัติว่า พวกเขาน่ากลัว สกปรก หรือน่ารำคาญ แค่คำไม่กี่คำในข่าวหรือในโพสต์ที่เราเห็นแวบๆ บนหน้าจอ มันกลายเป็นภาพจำที่ทำให้คนไร้บ้านหลายคนถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคมไปได้อย่างไร
เรื่องราวของคนไร้บ้านเป็นที่รับรู้มากขึ้นผ่านการสื่อสารต่างๆ ทั้งในระดับนโยบาย ชุมชน และบุคคลที่อยู่ในกลุ่มประชากรเปราะบาง และพอรับรู้มากขึ้น ลำดับถัดไปคือความเข้าใจที่มากขึ้นว่าการที่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนจากการเป็นคนมีบ้านมาเป็นคนไร้บ้าน มาจากเหตุผลและปัจจัยอะไรได้บ้าง
แต่จากการสำรวจสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 30 เมษายน 2568 ทั้งหมด 726 สื่อ แบ่งเป็นข่าวจากเว็บไซต์ จำนวน 228 ข่าว (31.4%) และโพสต์บน Facebook จำนวน 498 โพสต์ (68.6%) เราพบว่า ทัศนคติเชิงลบหรืออคติต่อคนไร้บ้าน ยังมีมากกว่า 50% ทัศนคติที่ไม่แสดงว่าเป็นบวกหรือลบ30.26% และ เชิงบวก 12.28%
โจซี่ (นามสมมติ)เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและสถานการณ์ไร้ที่อยู่อาศัย ภายหลังการหลบหนีจากความรุนแรงในครอบครัว ประสบการณ์ส่วนตัวของเธอได้ถูกนำมาเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นดังกล่าว เธอสะท้อนว่า สภาพจิตใจในขณะนั้นเต็มไปด้วยความมืดมนและความเครียดจากการหาที่อยู่ใหม่ ประกอบกับผลกระทบทางด้านจิตใจจากเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีต ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับ “หายนะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอต้องแยกจากลูกของตัวเอง ซึ่งถูกส่งไปอาศัยอยู่กับญาติ หลังจากผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาไม่นาน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐแคลิฟอร์เนียได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของนโยบายการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถกเถียงในประเด็น “ที่พักพิงระยะสั้น” หรือที่เรียกกันว่า interim housing ซึ่งรวมถึงบ้านพักพิงรูปแบบใหม่อย่าง “หมู่บ้านสำหรับคนไร้บ้าน” (tiny house villages) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายเมืองใหญ่ เช่น เมืองซานโฮเซและเมืองซานฟรานซิสโก
“Housing First” ถูกลดทอน “Treatment-First” ถูกผลักดัน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนโยบายคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เมื่อ Donald Trump หนุนการบังคับบำบัดรักษาแทนที่นโยบาย Housing First
ในสหรัฐอเมริกา ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยราคาถูกกำลังทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำและคนไร้บ้าน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โครงการต่างๆ ของรัฐ ที่สนับสนุนโดยกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมือง (Department of Housing and Urban Development: HUD) เช่น โครงการ Housing Choice Vouchers ที่ได้รับการพิสูจน์จากความสำเร็จแล้วว่า มีประสิทธิภาพในการลดความไม่มั่นคงทางที่อยู่อาศัย ได้รับผลกระทบจากการตัดงบประมาณของ HUD ผ่านการแทรกแซงของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE) ภายใต้การนำรัฐบาลของ Donald Trump
ชวนทุกคนทำความรู้จักกับ OnMed สถานีดูแลสุขภาพเสมือนจริงแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา นวัตกรรมสุขภาพอัจฉริยะที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ทันที โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ แต่ยังสร้างการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เท่าเทียมของคนไร้บ้านอีกด้วย